ผลวิจัยปรากฏว่า เมื่อนิทานแพร่กระจายจากแหล่งหนึ่งไปสู่อีกแหล่งหนึ่งนั้น ย่อมเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ คือ เปลี่ยนรายละเอียด เพิ่มความ ลดความ สลับความ และสับสนความ
ในด้านการเปลี่ยนรายละเอียด ผู้วิจัยพบว่ามักเกิดในอนุภาคที่เป็นสาเหตุของพฤติกรรมและในอนุภาคที่เป็นวิธีการประกอบพฤติกรรม จุดแห่งการเปลี่ยนแปลงมักเกิดในตอนเริ่มเรื่อง ตอนที่เป็นข้อต่อของเรื่อง และตอนจบเรื่อง ทั้งนี้เพราะผู้เล่ามีจินตนาการที่จะดัดแปลงเรื่องให้แปลกออกไป หรือมีเหตุผลที่จะนำรายละเอียดที่คุ้นเคยเข้ามาแทนเรื่องที่ไม่คุ้นเคย รวมทั้งเปลี่ยนเนื้อหาให้ดูสมเหตุสมผลตามทัศนะของตน
ผู้วิจัยพบว่า นิทานท้องถิ่นมีอิทธิพลสำคัญต่อการเพิ่มความ เช่นมีการเพิ่มตัวละครที่นิยมกันในท้องถิ่นเข้าไปในนิทานที่รับจากต่างถิ่น ปรากฏว่าในสำนวนอีสาน พญานาคมาเป็นผู้สร้างเมืองให้บรรพบุรุษพระราม เป็นผู้ลักพระรามลงไปบาดาล ยิ่งกว่านั้นธิดาพญานาคยังได้มาเป็นชายาของพระรามและหนุมานด้วย ในขณะเดียวกันมีการเพิ่มเหตุการณ์ที่พระเอกได้ชายาตามรายทางระหว่างที่ออกผจญภัย ซึ่งเป็นที่นิยมในนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ ทั่วไปเข้าไปในพระรามชาดก พระรามจึงได้นางยักษ์ นางนาค นางไม้ หรือเทพธิดาเป็นชายา ในแง่นี้ จึงมีผลให้บุคลิกของพระรามผิดไปด้วย นอกจากนั้นยังมีการผนวกนิทานท้องถิ่นทั้งเรื่องโดยเฉพาะเรื่องสังข์ศิลป์ชัย เข้าไปในพระรามชาดก
ประเพณีพื้นบ้านย่อมมีส่วนกำหนดพฤติกรรมตัวละคร ในนิทานพระรามสำนวนอีสาน ปรากฏว่าเมื่อหนุมานเข้าไปในลงกา ก็จะเว้าผญาเกี้ยวสาวลงกาตามแบบหนุ่มอีสาน หรือเมื่อพระรามพระลักษมณ์กลับจากสงคราม ก็มีการจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญ นอกจากนั้นตัวละครในเรื่องมักมีค่านิยม ความคิด ตลอดจนความเชื่อ เช่นเดียวกับคนท้องถิ่นนั้น ๆ
ในนิทานพระรามสำนวนท้องถิ่นมักคงไว้แต่ตัวเอกของเรื่อง คือ พระราม ทศกัณฐ์ หนุมาน พาลี สุครีพ และสีดา ส่วนตัวละครปลีกย่อย เช่น พระพรต พระสัตรุต ไกยเกษี สำมนักขา และตัวละครไม่สำคัญอื่น ๆ จะถูกตัดทิ้งไป การลดตัวละครย่อมหมายถึงการลดโครงเรื่องด้วย ในช่วงสงครามจึงมีแต่ตอนลักพระรามไปบาดาล และตอนโมกขศักดิ์เท่านั้น สำนวนท้องถิ่นจึงสั้น และดำเนินความรวบรัดกว่าสำนวนพระราชนิพนธ์มาก ทั้งนี้เพราะนิทานพื้นบ้านคำนึงถึงโครงเรื่องใหญ่เพียงโครงเดียว ดังนั้นตัวละครหรือเหตุการณ์ใดที่เป็นส่วนของโครงเรื่องย่อยจะถูกลด
การสับสนความเป็นสิ่งที่พบเสมอในนิทานพระรามสำนวนท้องถิ่น คือ มีความสับสนระหว่างบทบาทของนางสีดากับนางมณโฑ ระหว่างวิธีการรักษาพิษหอกโมกขศักดิ์ หอกกบิลพัทและศรพรหมสตร์ นอกจากนั้นยังสับสนความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ในสำนวนท้องถิ่นกล่าวว่า พระราม ทศกัณฐ์และสุครีพ มีบรรพบุรุษเดียวกัน ดังนั้นตัวละครเหล่านี้จึงเป็นพี่น้องกันหมด หรือบางสำนวน อินทรชิตกลายเป็นน้องของทศกัณฐ์ และบางสำนวนพระรามได้โอรสทศกัณฐ์มาเป็นที่ปรึกษาการสงคราม แทนที่จะเป็นพิเภกอนุชา
ในกระบวนการแพร่กระจายของนิทานนั้น มีแนวโน้มที่เนื้อหาของนิทานจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมและยุคสมัย แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนั้น นิทานเรื่องหนึ่ง ๆ จะยังคงรักษาโครงเรื่องหรือเอกลักษณ์อันแสดงความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้เสมอ ตลอดระยะเวลาแห่งการถ่ายทอดนิทาน
กรุณาช่วยปรับปรุงบทความนี้ โดยเพิ่มการอ้างอิงแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือ เนื้อความที่ไม่มีแหล่งที่มาอาจถูกคัดค้านหรือลบออก (เรียนรู้ว่าจะนำสารแม่แบบนี้ออกได้อย่างไรและเมื่อไร)เนื้อหา
- 1 ประวัติรามเกียรติ์
- 2 ตัวละครหลัก
- 3 ดูเพิ่ม
- 4 อ้างอิง
- 5 หนังสืออ่านเพิ่ม
- 6 แหล่งข้อมูลอื่น
ประวัติรามเกียรติ์
ต้นเค้าของเรื่องรามเกียรติ์มาจากเรื่องรามายณะซึ่งเป็นนิทานที่แพร่หลายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้ ต่อมาอารยธรรมอินเดียได้แพร่สู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อค้าชาวอินเดียได้นำวัฒนธรรมและศาสนามาด้วย ทำให้รามายณะแพร่หลายไปทั่วภูมิภาค กลายเป็นนิทานที่รู้จักกันเป็นอย่างดี และได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของประเทศนั้นจนกลายเป็นวรรณคดีประจำชาติไป ดังปรากฏในหลายชาติ เช่น ไทย ลาว พม่า กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ล้วนมีวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์เป็นวรรณคดีประจำชาติทั้งสิ้น
“รามเกียรติ์” มีเค้าจากวรรณคดีอินเดียคือมหากาพย์รามายณะที่ ฤๅษีวาลมีกิ ชาวอินเดีย แต่งขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต เมื่อประมาณ 2,400 ปีเศษ เชื่อว่าน่าจะเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ จากอิทธิพลของลัทธิพราหมณ์ฮินดู
สำหรับเรื่องรามเกียรติ์ของไทยนั้น มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงพระราชนิพนธ์สำหรับให้ละครหลวงเล่น ปัจจุบันมีอยู่ไม่ครบ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 1 ได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเพื่อรวบรวมเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมีมาแต่เดิมให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ เพื่อให้ละครหลวงเล่น โดยได้ทรงเลือกมาเป็นตอนๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ โดยใช้ฉบับของอินเดีย (รามายณะ) มาพระราชนิพนธ์ ใช้ชื่อว่า "บ่อเกิดรามเกียรติ์"