ลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน ได้แก่
1. เป็นสัญญาต่างตอบแทน หมายถึง ลูกจ้างมีหนี้ที่ต้องทำงานให้นายจ้าง ในขณะเดียวกันนายจ้างก็มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้าง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ เช่น ลูกจ้างไม่ยอมทำงาน นายจ้างก็มีสิทธิไม่จ่ายค่าจ้างให้ (ประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 369) ในทางกลับกันหากลูกจ้างทำงานแล้วนายจ้างผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้าง ลูกจ้างก็ไม่ต้องทำงานให้นายจ้าง
2. เรียกคู่สัญญาว่า นายจ้างกับลูกจ้าง ไม่ได้เรียกชื่อคู่สัญญาเป็นอย่างอื่น เช่น ผู้ว่าจ้าง กับ ผู้รับจ้าง ซึ่งเป็นสัญญาจ้างทำของ หรือเรียกว่า ตัวการ กับ ตัวแทน ตามสัญญาตัวแทน อย่างไรก็ตามสัญญาใดจะเป็นจ้างแรงงานหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อที่เรียกคู่สัญญาเพียงอย่างเดียว ต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย แต่ถ้าจะให้ถูกต้องก็ควรใช้ชื่อสัญญาว่า “จ้างแรงงาน” และเรียกชื่อคู่สัญญาว่า นายจ้าง กับ ลูกจ้าง โดยนายจ้างจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ส่วนลูกจ้างต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น
3. ลูกจ้างตกลงทำงานให้แก่นายจ้างและนายจ้างตกลงจ่ายสินจ้างหรือค่าจ้างตอบแทนการทำงานให้ คำว่า “ลูกจ้างตกลงทำงานให้แก่นายจ้าง” หมายถึง ลูกจ้างจะใช้กำลังแรงงานหรือเป็นงานที่ใช้ความคิดก็ได้ ส่วนคำว่า “นายจ้างตกลงจ่ายสินจ้างหรือค่าจ้างตอบแทนการทำงาน” หมายถึง นายจ้างจ่ายเงินให้ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงาน
4. ลูกจ้างต้องทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของนายจ้าง หมายถึง ลูกจ้างต้องทำงานตามคำสั่งและอยู่ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของนายจ้าง ต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง หากฝ่าฝืนนายจ้างสามารถลงโทษได้ หากบุคคลที่ตกลงเข้าทำงาน สามารถทำงานได้อย่างอิสระปราศจากการควบคุมบังคับบัญชาของนายจ้าง ถือว่านิติสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายไม่เป็นสัญญาจ้างแรงงาน เช่น ช่างตัดผมทำงานในร้านโดยเจ้าของไม่มีอำนาจควบคุมบังคับบัญชา ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่า เจ้าของร้านและช่างตัดผมไม่มีนิติสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน (ฎ. 352/2524)
5. สัญญาจ้างแรงงานทำขึ้นโดยถือตัวคู่สัญญาเป็นสาระสำคัญ โดยแต่ละฝ่ายต้องคำนึงถึงคุณสมบัติของบุคคลที่จะมาเป็นคู่สัญญา เพราะคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องผูกพันกันในฐานะนายจ้างและลูกจ้างเป็นเวลานาน ในประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 577 ได้กล่าวว่า นายจ้างจะโอนสิทธิความเป็นนายจ้างให้แก่บุคคลอื่นโดยลูกจ้างไม่ยินยอมไม่ได้ ทั้งหมดนี้ก็คือลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน ดังนั้น หากนิติสัมพันธ์ไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน คู่สัญญาก็จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายแรงงาน จึงต้องยึดตามข้อสัญญาที่ตกลงกันเป็นหลัก ตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดการสร้างความสัมพันธ์ด้านแรงงานควรมีการทำสัญญาจ้างงานโดยการเขียนสัญญาจ้างงานมีขั้นตอนสำคัญดังนี้ 1. รายงานตัวโดยสมัครใจพร้อมยื่นเอกสารที่เป็นหลักฐานต่าง ๆ สำหรับการรับพนักงานโดยจัดสอบเป็นกลุ่ม ผู้เข้าสอบจะต้องยื่นหลักฐาน คือ ทะเบียนสำมะโนครัว วุฒิบัตรการศึกษาหรือหลักฐานอื่น ๆ เพื่อยืนยันสถานะของพนักงาน และเพื่อป้องกันคนจากต่างถิ่นเข้ามาร่วมสอบ หากหน่วยงานผู้ว่าจ้างมีความจำเป็นแน่ชัดว่าต้องการคนงานจากชนบท นอกจากจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายแล้ว ยังต้องแจ้งให้รัฐบาลท้องถิ่นระดับมณฑล เขตปกครองตนเอง หรือมหานครให้พิจารณาอนุมัติด้วย 2. เมื่อหน่วยงานผู้ว่าจ้างจะรับคนเข้าทำงานหรือใช้พนักงานแต่ละคน ควรจะมีการทดสอบพวกเขาอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านคุณธรรม สติปัญญา และร่างกาย ส่วนเนื้อหาและมาตรฐานการสอบ สามารถเน้นหนักด้านใดก็ได้ตามความต้องการเนื้องานและรูปแบบการผลิต 3. กรอกแบบฟอร์มอนุมัติพนักงานใหม่ และยื่นแก่รัฐบาลท้องถิ่นของเมืองหรือจังหวัดให้อนุมัติ อีกทั้งยังต้องมีหนังสือแจ้งการรับเข้าทำงานซึ่งอนุมัติโดยหน่วยงานของรัฐแจ้งแก่พนักงานใหม่ด้วย
4. ผู้ผ่านการรับเข้าทำงานยื่นเอกสารหรือหลักฐานอื่น ๆ เมื่อผู้ผ่านการรับเข้างานไปรายงานตัวต่อหน่วยงานผู้ว่าจ้าง ควรยื่นเอกสารรายงานตัว เมื่อหน่วยงานผู้ว่าจ้างตรวจสอบแล้ว จึงอนุญาตให้รายงานตัว โดยหน่วยงานที่รับพนักงานเข้าใหม่จะออกหนังสือแจ้งการยอมรับเข้าทำงานให้แก่พนักงาน
5. หน่วยงานผู้ว่าจ้างแนะนำตัวอย่างเนื้อหาและเงื่อนไขของสัญญาจ้างงานแก่ผู้ที่ผ่านการรับเข้าทำงาน ก่อนเขียนสัญญา หน่วยงานผู้ว่าจ้างควรแนะนำตัวอย่างเนื้อหารายละเอียดของสัญญาจ้างงานอย่างละเอียดและตามความเป็นจริง รวมถึงกรณีต่างๆที่เกี่ยวข้องรวมทั้งในการเซ็นสัญญา หน่วยงานผู้ว่าจ้างยังมีหน้าที่ตอบคำถามที่พนักงานที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ถาม รวมถึงรับฟังความเห็นและข้อเรียกร้องด้วย
6. สองฝ่ายปรึกษาร่วมจนเห็นพ้องต้องกันในการเขียนสัญญา หน่วยงานผู้ว่าจ้างกับพนักงานที่รับเข้ามาใหม่จะทำสัญญาจ้างงานโดยผ่านการปรึกษาร่วมจนเห็นพ้องต้องกัน ได้ข้อตกลงและผ่านการเซ็นชื่อประทับตราของทั้งสองฝ่าย สัญญาจ้างงานจึงถือว่าสำเร็จ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายสามารถกำหนดระยะเวลาทดลองงานในสัญญาจ้างงานได้ภายในระยะเวลาทดลองงาน หน่วยงานผู้ว่าจ้างสามารถทดสอบพนักงานในเรื่องคุณธรรม สติปัญญา และร่างกายได้อีกขั้น เพื่อให้เข้าใจมาตรฐานและความสามารถในการทำงานของพวกเขาว่ามีความเหมาะสมกับภาระหน้าที่ที่พวกเขารับผิดชอบหรือไม่ ถ้าพบว่าพนักงานใหม่ไม่เหมาะสมกับเงื่อนไขในการรับเข้าทำงานหรืองานที่รับภาระไม่เหมาะกับเขา หน่วยงานผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้
7. สหภาพแรงงานดำเนินการตรวจตราในสิ่งที่จำเป็น กฎหมายสหภาพแรงงานของจีนกำหนดไว้ว่า เมื่อฝ่ายบริหารของกิจการรับคนงานหรือพนักงานเข้ามาใหม่ ควรแจ้งแก่สหภาพแรงงานชั้นต้นทราบ ถ้าสหภาพแรงงานชั้นต้นพบว่า การรับคนงานหรือพนักงานนั้นกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐ มีสิทธิเสนอความเห็นได้ภายในสามวัน การทำเช่นนี้ สามารถป้องกันการที่หน่วยงานไม่ใส่ใจกับความต้องการในเงื่อนไขการผลิต ใช้พนักงานไม่ถูกกับงาน ทำให้กิจการได้รับความเสียหายโดยไม่จำเป็น ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการปกป้องสิทธิตามกฎหมายของคนงานหรือพนักงานที่เข้ามาใหม่ด้วย
8. ทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด หน่วยงานผู้ว่าจ้างบางประเภท ถ้าจะรับคนงานเข้ามาทำงานเฉพาะช่วงเวลา ควรทำเรื่องแจ้งแก่หน่วยงานของรัฐที่ดูแลกิจการต่างๆและหน่วยงานด้านแรงงานในท้องที่นั้น ๆให้มีการลงบันทึก เช่น กิจการเหมืองแร่ ก่อสร้าง งานจราจร งานสร้างทางรถไฟ ไฟฟ้าและไปรษณีย์ที่เป็นของเอกชน เป็นต้น ถ้าหน่วยงานผู้ว่าจ้างรับคนงานจากชนบทที่รับจ้างเป็นงาน ๆ หรือจ้างคนงานจากชนบทในระบบสัญญาแรงงาน หลังจากที่ได้เซ็นสัญญาจ้างงานโดยไปเซ็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นระดับจังหวัดหรืออำเภอพร้อมกับคนงานแล้ว ควรจะต้องทำเรื่องแจ้งแก่หน่วยงานของรัฐที่ดูแลกิจการและหน่วยงานที่ดูแลด้านแรงงานในท้องที่ให้ทำการลงบันทึก เพื่อให้ระบบสัญญาจ้างงานของจีนสมบูรณ์ขึ้น เมื่อหน่วยงานผู้ว่าจ้างเซ็นสัญญากับพนักงานที่รับเข้ามาใหม่ ควรระวังปัญหาต่อไปนี้