ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร์ แตกต่างกันอย่างไร

แต่ก่อนจะพูดถึง “ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร์” เรามาทบทวนสัญลักษณ์นิวเคลียร์กันก่อน ว่าส่วนไหนเรียกว่าอะไร และหาค่าอย่างไรบ้าง

สัญลักษณ์นิวเคลียร์

ตัวอย่างเช่น…

ถ้ามองดูแล้วไม่เข้าใจมาดูคำอธิบายกัน

จากตัวอย่างจะเห็นว่า…

จากตัวอย่างข้างต้น น้องๆ อาจจะงงว่าพวก โปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน เลขมวล หาค่ามายังไง นี่ก็จะเป็นคำอธิบายทั้งหมด

หลักการจำ!

นี่ก็เป็นหลักการจำ ที่จะจำได้นาน และรับรองว่าไม่ลืมอีกแน่!!!

คราวนี้ลองใช้ทริคการจำมาทำโจทย์กัน ลองดูว่าธาตุใดที่เป็น ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร์ ไอโซอิเล็กทรอนิกส์

โจทย์ ให้น้องๆ ดูว่าธาตุใดที่เป็นไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร์ และไอโซอิเล็กทรอนิกส์

มาดูเฉลยกัน

เห็นคำตอบแล้ว ได้คำตอบตรงกันไหมเอ่ย?

จบไปแล้วสำหรับทริคการจำ “ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร์” เห็นไหมล่ะว่าถ้ามีเทคนิคการจำก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป  หรือถ้าน้องๆ มีวิธีจำแบบอื่น ก็สามารถแชร์เข้ามาได้ที่ inbox facebook : schooldekd

   ไอโซโทป(Isotope)หมายถึง อะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน แต่มีเลขมวลต่างกัน 

หรืออะตอมของธาตุที่มีเลขอะตอมเท่ากัน แต่มีจำนวนนิวตรอนต่างกัน

       ตัวอย่างไอโซโทปเช่น ไฮโดรเจนมี 3 ไอโซโทปคือ  


      ไอโซโทน(Isotone)หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกันมีเลขอะตอมและ

เลขมวลต่างกัน แต่มีจำนวนนิวตรอนเท่ากัน

       ตัวอย่างไอโซโทนเช่น

      ไอโซบาร์(Isobar)หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกัน แต่มีเลขมวลเท่ากัน

       ตัวอย่างไอโซบาร์เช่น

   ตารางสรุปความหมายของไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบาร์


ถ้าคุณติดตามเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล, เขาคือ Data Technology Entrepreneur นักคิดเชิงข้อมูล ผู้ใช้ Big Data ในการปลดล็อกและสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับบริษัทมากมาย

ถ้าคุณเป็นนักอ่าน,  เขาคือนักเขียนและคอลัมน์นิสต์ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของข้อมูลกับโลกธุรกิจและนโยบาย และเพิ่งมีผลงานหนังสือเล่มแรกในชีวิต ‘อาทาเดีย’ หรือในภาษาอังกฤษ ATADIA ซึ่งหากส่องกระจก จะสะท้อนกลับมาเป็นคำว่า AIDATA (เอไอดาต้า) ที่เล่าทั้งเรื่องจริงและเมืองในจินตนาการที่พอจะเป็นไปได้ในอนาคต หากเทคโนโลยีล้ำหน้าไปสุดทาง จะเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนในโลกนี้บ้าง

แต่ถ้าคุณไม่รู้จัก ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์, เขาคือ เด็กเนิร์ด นักคิด นักธุรกิจ นักเขียน และคุณพ่อลูกสอง ผู้หลงใหลและเชื่อมั่นว่า Big Data จะช่วยให้ประเทศไทยดีกว่าเมื่อวานนี้ได้ ถึงแม้ครั้งแรกในการนำเสนอนโยบายสาธารณะกับหน่วยงานภาครัฐ คู่สนทนาจะนั่งหลับก็ตาม

เมื่อพูดถึงนามสกุล จาตุศรีพิทักษ์ หลายคนน่าจะคิดต่อถึงคำว่า นักการเมือง สมัยเด็ก ๆ คุณเคยได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้ไหม

มีเหมือนกันครับ น่าจะเป็นตอนเรียนชั้น ป.6 หรือ ม.1 ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ซึ่งคุณพ่อรับตำแหน่งทางการเมืองครั้งแรก แล้วความที่เสื้อนักเรียนมีชื่อกับนามสกุลปักอยู่ ไม่ว่าเดินไปไหนจะมีคนทักว่า ใช่นามสกุลนักการเมืองคนนั้นหรือเปล่า ในขณะเดียวกัน คนรอบตัวจะคอยบอกว่าผมต้องวางตัวอย่างไร เป็นความกดดันเล็ก ๆ ว่าเราต้องทำตัวให้ดีขึ้นหรือเปล่า อย่าทำอะไรให้พ่อเสียชื่อเสียง ซึ่งผมก็เป็นเด็กเรียนดีอยู่แล้ว ได้ถือพานไหว้ครู เป็นหัวหน้าห้อง ถึงจะไม่ได้เก่งที่สุด แต่มีความรับผิดชอบและตั้งใจเรียน

เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของ ดร.สมคิด ที่เล่าถึงวิธีการเลี้ยงลูกว่า พาไปดูบ้านเก่าของตระกูลที่ย่านเยาวราช

ใช่ ผมไปบ่อยมาก (ยิ้ม) คุณพ่อเป็นสมาชิกในครอบครัวไม่กี่คนในรุ่นนั้นที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ซึ่งความสำเร็จก็มาจากการเสียสละของพี่ ๆ ที่ทำงานหาเงินส่งให้น้องเรียน เพราะฉะนั้น การเติบโตของคุณพ่อกับผมจึงแตกต่างกันมาก ทำให้คุณพ่อให้ความสำคัญกับจุดเริ่มต้นและการต่อสู้ของครอบครัว เพราะคนจีนที่เข้ามาเมืองไทยในสมัยนั้น ถ้าไม่สู้ก็อดตาย

คุณพ่อจึงอยากพาลูก ๆ ไปเห็นบ้านหลังเก่าของครอบครัว และสอนให้เห็นความสำคัญของการศึกษา ให้รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้ว ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วย เพราะถ้าไม่มีการศึกษาหรือมีคนสนับสนุน ผมก็คงไม่มีทางมีวันนี้ได้

ผมเคยคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่ง นามสกุลของเขาก็ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในสังคม เราเห็นตรงกันว่า เราไม่ได้เก่งกว่าใคร แต่เพราะมีโอกาส มีคนช่วยเยอะ พอเห็นคนอื่นที่เก่งมาก แต่ไม่มีโอกาส ทำให้รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหน และการที่พ่อสอนให้เห็นจุดเริ่มต้นของครอบครัวทำให้ผมติดดินขึ้น อาจไม่เท่าบ้านคนอื่น เพราะแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่หลุดโลก หรืออยู่ในฟองสบู่โดยไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร

อาจเพราะเหตุผลนี้ คุณพ่อจึงส่งผมไปเรียน ม.ปลาย ที่ Prep School ชื่อ Choate Rosemary Hall ในรัฐคอนเนคติกัต สหรัฐอเมริกา เพื่อให้โตเป็นผู้ใหญ่และไม่มีชีวิตที่แปลกเกินไป เพราะตอนนั้นเริ่มมีคนเอาใจ อยากทำนู่นนี่ให้

เด็กอายุ 15 กับการไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวเป็นอย่างไรครับ

Culture Shock เลย จากเดิมอยู่บ้านกับครอบครัว เปลี่ยนมาเป็นหอพัก ต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่ตื่นยันนอน เพื่อน ๆ ที่เมืองไทยไปถึงโรงเรียนตอนเช้าก็เตะฟุตบอล ตกเย็นเล่นเกม เดินเล่นสามย่าน แต่เมืองที่ผมอยู่มีแต่หลุมศพกับห้างวอลมาร์ท (Walmart) เป็นแหล่งความเจริญใกล้ที่สุด ซึ่งต้องปั่นจักรยานไป 1 ชั่วโมง

ในขณะที่ภาษาอังกฤษของผมก็ป้อแป้ เขียนได้ ทำข้อสอบได้ แต่พูดไม่ค่อยโอเค แล้วจากที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งเลข เนื่องจากสังคมสมัยก่อนมีทัศนคติที่เชื่อว่า เด็กเอเชียจะเก่งเลข แต่ความที่โรงเรียนนั้นคัดเด็กเก่ง ๆ จากทั่วโลก พอเราไปถึงคือห่วยสุด ได้เกรด 4.0 เมืองไทยแทบไม่มีความหมาย เป็นประสบการณ์ที่หินมาก

ปัจจัยที่ทำให้เอาตัวรอดได้คืออะไร

น่าจะเพราะผมเป็นคนซีเรียส พอเจอเรื่องท้าทายก็อยากทำให้ได้ แล้วความที่มีเวลาแค่ 3 ปีเพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัย ความกดดันนั้นทำให้ผลการเรียนดีขึ้น กระทั่งได้เรียนต่อด้านคณิตศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ แต่ก็ต้องกระเสือกกระสนนะ เพราะมีคู่แข่งทั้งนักเรียนทุนไทยและเด็กอีกหลายประเทศ แต่ความที่เราเป็นเด็กเนิร์ดด้วย ถ้าคิดจะลุยแล้วไม่มีถอย ยกตัวอย่างถ้าในหนังสือมีแบบฝึกหัด 100 ข้อ ผมจะทำทั้ง 100 ข้อ ธรรมชาติของเราเป็นแบบนั้น ซึ่งต่อมาก็รู้เรียนว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะไม่ได้คะแนนมากกว่าเดิม (หัวเราะ)

ทำไมเลือกเรียนคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์

ข้อแรกคือพ่อบอกให้เรียน เขาคงอยากให้เล่นการเมืองแหละ เพราะเป็นวิชาที่กว้างและนำไปประยุกต์ได้หลายแขนง ที่เรียนเลขด้วยเพราะถ้าจะเรียนต่อปริญญาเอกด้านเศรษศาสตร์ ก็ต้องเรียนคณิตศาสตร์ชั้นสูง และข้อสองคือ ผมเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียนอะไรได้ดีโดยไม่ต้องสนใจก็ได้ ตอนนั้นอยู่ในโหมดไม่มี Critical Thinking อย่างรุนแรง จนค่อย ๆ คิดได้เองว่า ถ้าอยากเป็นผู้ใหญ่และอยู่อเมริกา ทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของเรา จะลอยไปวัน ๆ ไม่ได้ กว่าจะมาสนใจวิชาเศรษศาสตร์ก็ตอนเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ได้พักหนึ่งแล้วว่า น่าจะเป็นสิ่งที่เราชอบจริง ๆ

สมัยปริญญาโท ผมเลือกเรียนด้านด้านรัฐศาสตร์และการเงินระหว่างประเทศ เนื่องจากตอนนั้นการลงทุนข้ามชาติกำลังมาแรง เป็นโปรแกรมที่รับคนที่มีประสบการณ์ทำงานแล้ว แต่เราดันเกรดดีมาก หรืออย่างไรไม่รู้เขาก็เลยรับ พอไปเรียนก็ได้เปิดโลก เพราะได้รู้จักคนที่อายุมากกว่าและทำงานที่หลากหลาย มีตั้งแต่ทหารที่ออกไปรบกับตาลีบัน ไปจนถึงทูตจากหลายประเทศ

จุดพีกอยู่ตรงที่ผมอายุน้อยสุดในรุ่น ตอนไปสมัครงานในช่วงใกล้เรียนจบ ผมยื่นใบสมัครไปเป็นร้อยใบในทุกตำแหน่งที่คิดว่าทำได้ เช่น เศรษฐกร นักวิจัยข้อมูล และ Young Professional Program แต่จาก 100 ใบนั้นมีตอบรับกลับมาแค่ 4 แห่ง ความฟลุกคือที่แรกที่ตอบรับคือ โรงเรียนฮาร์วาร์ดเคนเนดี้ ซึ่งภรรยาผมเรียนปริญญาโทอยู่ที่ฮาร์วาร์ดพอดี เราจึงได้ติดสอยห้อยตามกันไป ถ้าไม่ได้งานนั้น อาจจะไม่มีครอบครัวแบบนี้ก็ได้ (หัวเราะ)

ตอนนั้นทำงานอะไรที่ฮาร์วาร์ดครับ

เป็นผู้ช่วยวิจัยด้านนโยบายสาธารณะครับ ได้ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม โดยใช้ Big Data ในการวิเคราะห์ ตรงนั้นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองว่า เศรษฐศาสตร์ไม่ใช่แค่เรื่องนโยบายการเงิน เงินเฟ้อ หรือผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ (Gross Domestic Product)

ก่อนหน้านั้นโลกของผมอยู่แค่ในหนังสือ การทำงานนั้นช่วยเปิดโลกให้เห็นว่า มีวิธีนำทฤษฎีกับข้อมูลจำนวนมหาศาลมาคิดค้นนโยบายที่มีประโยชน์ต่อสังคม และพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ โดยอ้างอิงจากหลักฐานเชิงข้อมูล

ยกตัวอย่างเรื่องวันที่หิมะตกหนัก โรงเรียนควรหยุดหรือเปิดทำการ เคสนี้อาจารย์ที่ฮาร์เวิร์ดจ้างนักวิจัยมาช่วยกันวิเคราะห์อย่างจริงจังจนได้ข้อสรุปว่า ควรปิด เพราะการเปิดจะทำให้เด็กยากจนมาเรียนด้วยความลำบากกว่า เนื่องจากไม่มีรถยนต์ส่วนตัว หรือถ้ามีก็ลุยหิมะไม่ได้เหมือนรถคนรวย พอมีเด็กมาเรียนไม่ได้ รุ่งขึ้นคุณครูก็ต้องใช้เวลาติวเด็กกลุ่มนั้นเพิ่มเติมอีก ทั้งหมดส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กรวยหรือจน การดันทุรังเปิดโรงเรียนในวันที่อากาศไม่ดีจะให้ผลเสียมากกว่า

ก่อนทำงานที่ฮาร์วาร์ด ผมเคยเรียนวิชาหนึ่งที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ชื่อวิชาเศรษฐมิติ คือการนำสถิติกับเศรษฐศาสตร์มารวมกัน เป็นวิชาที่หลายคนเกลียด แต่ผมรักมาก เพราะรู้สึกว่าจับต้องได้ เช่น นโยบายหนึ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาผมทำคือการแจกแว่นตาให้เด็กในเมืองจีน ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการแจกคอมพิวเตอร์หรือหนังสือ เพราะถ้าเด็กมองไม่เห็นกระดาน โอกาสจะเรียนได้ดีก็ยาก การแจกหนังสือนั้นเสี่ยงมาก เพราะตามทฤษฎีการเรียนรู้ของเด็ก ถ้าคุณให้หนังสือไม่ตรงกับระดับของเขา หรือกลุ่มที่บริจาคหนังสือไปแอฟริกา โดยไม่ได้เช็กเรื่องภาษาท้องถิ่น สุดท้ายเขาก็อ่านไม่ได้ เท่ากับผลาญเงินโดยเปล่าประโยชน์ ไม่เหมือนแว่นตาที่ลงทุนไม่เยอะ แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ามหาศาล

ศาสตร์นี้จึงต้องการข้อมูลเยอะ ๆ เพื่อพิสูจน์คำถาม ซึ่งถ้าเป็นคนรุ่นพ่อของผมเรียน ข้อมูลยังมีไม่เยอะ ต่างกับยุคของผมที่เป็นบิ๊กดาต้า พอมีข้อมูลให้ทำงานเยอะ ก็เลยสนุกมาก

เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการหลงใหลเรื่องข้อมูลแบบสุดลิ่มทิ่มประตู

มากครับ มันมีประโยชน์จริง ๆ บางนโยบายด้านการศึกษาที่เราทำ ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ก็ถูกนำไปใช้ที่โรงเรียน มันกระทบต่อชีวิตเด็กทันที รู้สึกว่างานที่ทำอยู่มีความหมาย และสนใจงานภาคสังคม จึงเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซตาทวินซิตี้ส์ เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลเพื่อช่วยคิดค้นนโยบายใหม่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบมาก เพราะปกติสาขาเศรษฐศาสตร์จะให้ความสำคัญกับเรื่องดีกรี เช่น คนนี้เป็นลูกศิษย์ใคร แต่ในสาขาที่ผมเรียน วิจัยที่อาจารย์หลายคนทำมีประโยชน์ต่อสังคมแบบจับต้องได้ ไม่ได้ต้องเบ่งว่าจบดอกเตอร์จากที่ไหน

ผมโชคดีที่ได้อาจารย์ 3 ท่านทำงานเป็นที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาว ท่านหนึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมให้อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ถือเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างมีเกียรติสำหรับนักเศรษฐศาสตร์สายนโยบาย ทำให้เราอินในงานนี้มาก ตอนนั้นคิดเหมือนกันว่าจะเป็นคนอเมริกันเลยดีไหม แต่สุดท้ายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง ก็เลยกลับไทย เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย (หัวเราะ)

อันนี้พูดจริงหรือเปล่า

จริง ๆ มีหลายเหตุผล ตอนนั้นผมทำ Excel เปรียบเทียบเลยว่า ข้อดีของการอยู่อเมริกากับประเทศไทยมีอะไรบ้าง สำหรับอเมริกา ข้อดีคืองานดี ความเครียดน้อย รายได้โอเค มีอิสระ พอคิดถึงเรื่องโรงเรียนของลูก โรงเรียนของรัฐหลายแห่งก็ดีมาก เสียอย่างเดียวคือเรื่องความรุนแรงในประเทศ นอกจากนี้เราคิดถึงความสัมพันธ์กับครอบครัว ญาติพี่น้องด้วย คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจกลับเมืองไทย เบ็ดเสร็จใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่ปี 2004 จนถึง 2018

ตอนแรกวางแผนจะทำงานอะไรที่เมืองไทยครับ

อยากทำวิจัยเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะครับ ตอนแรกไม่คิดจะเปิดบริษัทของตัวเองหรือทำธุรกิจเลย อยากทำงานเหมือนที่ฮาร์วาร์ดมากกว่า เพราะสนุก ท้าทาย และมีประโยชน์ แต่ไม่รู้ว่าผม Pitch โปรเจกต์ไม่เก่งหรือเปล่า เพราะเคยลองไปคุยกับหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งว่า อยากเชื่อมบัตรประชาชนของคนไทยกับข้อมูลด้านการศึกษาทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย รวมถึงสรรพากรด้วย

ผมได้แรงบันดาลใจเรื่องนี้จากงานวิจัยที่อเมริกาที่เชื่อมข้อมูลของคนตั้งแต่เรียนอนุบาล และพบหลักฐานว่าคุณภาพของการศึกษาตั้งแต่วันแรกส่งผลต่อการได้งานครั้งแรก เขามีข้อมูลการแต่งงาน หย่าร้าง ปัญหาสุขภาพ จนกระทั่งเสียชีวิต ไม่ถึงขนาดเก็บไว้ทุกช่วงนะครับ แต่อย่างน้อย ๆ ก็มีเครื่องไทม์แมชชีนให้เห็นไทม์ไลน์ว่า นาย ก เคยได้รับการศึกษาในระดับไหน จนถึงวันที่เป็นผู้ใหญ่ว่าจ่ายภาษีไปเท่าไร

วันที่ผมไปเสนอโปรเจกต์นี้กับหน่วยงานรัฐ ผมจำไม่ได้ว่าเสนอกับใครนะ คุยกันเหมือนอย่างที่ผมเล่านี่แหละ ปรากฏว่าเขานั่งหลับ (หัวเราะ)

อาจเป็นเพราะผมพูดน่าเบื่อหรือเปล่า ก็คงไม่ขนาดนั้นมั้ง และผมอาจจะเซนซิทีฟด้วย พอครั้งแรกเจอแบบนั้นก็เลยไม่ทำต่อ หลังจากนั้นได้เรียนรู้จากพี่ ๆ ที่ทำงานเรื่องนโยบายว่า ต้องมีความอดทน ครั้งนั้นอาจจะเป็นบทเรียนหนึ่งท่าว่า เรายังอดทนได้ไม่มากพอ (หัวเราะ)

จึงเป็นจุดหักเหให้มาทำธุรกิจ

ใช่ครับ เพราะเรามีไอเดียที่อยากเสนอเยอะมาก ก็เลยคิดถึงภาคเอกชน เริ่มไปสมัครงานในตำแหน่งที่ปรึกษา โดยบริษัทแรก ๆ ที่ได้ร่วมงานด้วยคือ True ในช่วงที่เขาเริ่มทำ Digital Group พอได้ทำก็สนุก เพราะเขามีข้อมูลขนาดใหญ่และพร้อมมาก อีกแห่งคือตลาดหลักทรัพย์ ผมเข้าไปช่วยทำระบบ AI สำหรับจับคนปั่นหุ้น

พองานเยอะขึ้นจนทำคนเดียวไม่ไหว ก็เลยเปิดบริษัทสยามเมทริกซ์ คอนซัลติ้ง (Siametrics Consulting) บริษัทให้คำแนะนำด้านการใช้ประโยชน์จากข้อมูลกับองค์กร อธิบายง่าย ๆ คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปปลดล็อกข้อมูล เพื่อให้บริษัทของลูกค้าได้ใช้ประโยชน์สูงสุด

พองานที่เข้ามาเริ่มหลากหลายขึ้นก็แยกมาเปิดอีกบริษัทชื่อ ViaLink ทำเกี่ยวกับการยกระดับการค้าและระบบขนส่ง เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยากให้ง่ายและแม่นยำขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีข้อมูลเข้าไปบริหารจัดการ ตั้งแต่การผลิตของออกจากโรงงานไปจนถึงมือลูกค้า เช่น มีระบบคาดการณ์ว่า ถ้าอยากส่งสินค้าจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 2 ต้องใช้รถกี่คัน ต้องเรียงลำดับของในรถอย่างไร อะไรเข้าก่อน อะไรเข้าหลัง เมื่อทุกอย่างเป็นระบบ เจ้าของกิจการก็ใช้รถน้อยลง ช่วยประหยัดค่าขนส่งได้มหาศาล ในขณะที่รถบนถนนก็ติดน้อยลงด้วย

ถึงแม้ธุรกิจจะไปได้ดี แต่สิ่งที่เราเห็นคือ คุณยังแบ่งเวลาไปทำงานภาคสังคมที่สถาบันอนาคตไทยศึกษา

ใช่ครับ เพิ่งทำเมื่อปีที่แล้ว เป็นองค์กรไม่แสวงกำไรที่มีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการคิด การทำทำนโยบายให้เปิดกว้าง และอยู่บนหลักฐานเชิงข้อมูลมากขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ได้เข้าไปช่วยงานก็เนื่องจากก่อนหน้านั้น บริษัทผมเคยทำโปรเจกต์วิจัยเรื่องอุบัติเหตุทางถนนกับมูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (iTIC) ซึ่งมีโจทย์จากการที่มีคนไทยเสียชีวิตบนถนนปีละ 20,000 คน ที่เซ็งกว่าคือเป็นแบบนี้มา 10 ปีแล้ว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว พอไปคุยกับคนที่ทำงานภาคสนามจะเป็นที่รู้กันว่า เขาต้องบันทึกการเสียชีวิตเป็นอย่างอื่น เพราะโดนกดดันว่าอย่าลงเยอะ เพราะมีสื่อจับจ้องอยู่

อันนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องใหญ่กว่าคือ การมีผู้เสียชีวิตปีละ 20,000 คนต่อเนื่องมานานขนาดนี้ แล้วมันแย่ตรงที่ส่วนใหญ่เป็นคนวัยรุ่นกับวันทำงาน แล้วครอบครัวเขาจะเป็นอย่างไร ภรรยาต้องเป็นแม่ม่าย ลูกยังอยู่ในวัยเรียน มันไม่ได้พังแค่เศรษฐกิจ แต่พังไปถึงครอบครัว สังคม เป็นการสูญเสียที่ป้องกันให้ดีกว่านี้ได้

พอได้ทำงานกับ iTIC ซึ่งมีข้อมูลค่อนข้างเยอะ มีเครือข่าย เราจึงช่วยกันหยิบข้อมูลมาทำเป็นภาพใหญ่ น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีข้อมูลหมดทุกอย่างว่า ถนนเส้นไหนมีอุบัติเหตุเสียชีวิตบ้าง ส่วนใหญ่เป็นเวลาไหน ถนนมีกี่เลน มีป้ายและร้านรวงรอบ ๆ อะไรบ้าง วันนั้นอากาศเป็นอย่างไร มีด่านไหม

ตอนนั้นเราเก็บข้อมูลจากหลายฝ่ายมารวมกัน เพื่อเป้าหมายแรกคือ ลดจำนวนคนตาย และสอง อยากรู้ว่าวิธีไหนจะช่วยลดจำนวนคนตายได้ดีที่สุด ซึ่งก่อนหน้านั้นมีคนคุยกันเยอะว่า สาเหตุเป็นเพราะแอลกอฮอล์และอื่น ๆ แต่ข้อมูลของเราบอกว่า สาเหตุสำคัญเกี่ยวข้องกับสถานที่และเวลา กรณีที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นตอนดึก ๆ และรุ่งสาง แทบทั้งหมดเกิดกับมอเตอร์ไซค์ มันตลกตรงที่เมื่อดูแค่ 2 เรื่องนี้ แต่พอดูมาตรการของภาครัฐ มันแทบไปไม่ถึงตอนกลางคืนหรือเกี่ยวข้องกับมอเตอร์ไซค์โดยตรง ไม่ต้องใช้บิ๊กดาต้าก็เห็นแล้ว

ผมเคยพูดเล่น ๆ กับ คุณนินนาท ไชยธีรภิญโญ (ประธานมูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะ) ถ้าเราปิดถนนหลังเที่ยงคืนเป็นซินเดอเรลล่า หรือทำระบบขนส่งตอนกลางคืนโดยไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ จะมีคนตายไหม เรื่องนี้ผมพูดเล่น ๆ นะ กระทั่งเกิดโควิด-19 และมีประกาศเคอร์ฟิว ลองไปดูข้อมูลได้ครับ แทบไม่มีผู้เสียชีวิต แสดงว่าข้อสันนิษฐานถูก แต่เราลิดรอนสิทธิของคนไม่ให้ออกมาทำมาหากินไม่ได้ แต่ถามว่าข้อมูลถูกไหม… ถูกเป๊ะ เพราะพอเลิกเคอร์ฟิว จำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนก็กลับมาเหมือนเดิม

แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ข้อมูลชุดนี้ทำให้คนตื่นตัวมากขึ้น เจ้าหน้าที่ภาครัฐก็มีกำลังใจว่า เมื่อมีข้อมูลขนาดนี้แล้ว ก็ต้องมีวิธีลดจำนวนคนตายได้สิ เราทำข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้หน่วยงานเกี่ยวข้องได้ใช้ทำงานต่อ ซึ่งเป็นแพสชันเดิมที่ผมอยากทำมาตลอด คือการเชื่อมไอเดียดี ๆ กับภาครัฐ เพื่อให้เขานำไปทำต่อได้จริง แต่สุดท้ายแล้วบิ๊กดาต้าจะช่วยได้แค่ส่วนเดียว เพราะการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับการรวมพลังของคนในชุมชนด้วย

ฟังแบบนี้ บิ๊กดาต้าไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงได้กับทุกเรื่อง

ใช่ครับ มีทั้งประโยชน์และไม่มีประโยชน์ ถ้าเป็นภาคธุรกิจ ส่วนใหญ่ทำเรื่องการค้า ลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย การบริหารจัดการความเสี่ยง ถ้าเป็นนโยบายสาธารณะ ก็เป็นเรื่องการศึกษา ความปลอดภัย ความสำคัญของบิ๊กดาต้าไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นเทคโนโลยีไหม แต่เราจะนำมันไปทำให้วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานได้หรือเปล่า เช่น จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดน้อยไหม หรือโปรเจกต์นี้คุ้มกับเงินภาษีของคนไทยหรือเปล่า

ถ้าวันนี้มีโอกาสเสนอนโยบายสาธารณะกับหน่วยงานภาครัฐอีกครั้ง อยากทำเรื่องอะไรครับ

ยังเป็นเรื่องเดิมคือ ทุนมนุษย์ ทำอย่างไรให้ประชากรไทยมีผลิตภาพดีที่สุด สามารถแข่งขันกับชาติอื่นได้ ซึ่งเราทำได้ผ่านการศึกษา สาธารณสุข โดยเชื่อมข้อมูลว่าระหว่างที่คนไทยเติบโต เขาเจอเรื่องดีและไม่ดีอะไรบ้าง ผมอยากทำเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว และเชื่อว่าจะแก้ปัญหาได้เยอะ เพราะสุดท้ายเศรษฐกิจไทยจะแข่งกับชาติอื่นได้ เราต้องการคนเก่งที่สร้างสิ่งใหม่ ๆ แล้วอยากอยู่เมืองไทยต่อ ไม่ใช่บินไปอยู่ที่อื่น เพราะตอบโจทย์ชีวิตมากกว่า

ที่อเมริกามีแบบแผนเรื่องทุนมนุษย์ไว้ชัดเจนว่าทำได้ และมีประโยชน์ล้านเปอร์เซ็นต์ ถ้ามีองค์กรไหนที่ต่อข้อมูลเสร็จแล้วก็บอกผมได้เลย อยากทำจริง ๆ ไม่น่าจะมีเรื่องไหนสำคัญกว่านี้แล้ว เช่นเดียวกับเรื่องถนน เพราะจะทำนโยบายการศึกษาทำไม ถ้าเรียนจบแล้วมาตายบนถนน

วันหนึ่งเราจะเห็นชายผู้หลงใหลบิ๊กดาต้าคนนี้เดินลงสนามการเมืองเหมือนที่มีหลายคนตั้งคำถามไหม

ไม่ครับ (ตอบทันที) ผมเข้าใจถ้าคนจะคิดแบบนั้นนะ เพราะเมื่อดูจากสถิติของนามสกุลนี้ก็อยู่ในแวดวงนี้ แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำงานนี้ได้ดี ในสภามีคนเก่งกว่าเราเยอะแยะ รวมถึงยังมีคนข้างนอกที่เก่งมาก ๆ ถ้าให้ผมทำก็ขอสนับสนุนจากความถนัดของตัวเองดีกว่า เช่น ถ้าอยากให้ช่วยเรื่องนโยบายสาธารณะ ก็พร้อมเลย

อีกเหตุผมคือ ผมอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับ Nationalism เท่าคนอื่น ไฟในตัวของผมไม่เหมือนนักการเมือง ผมมีความสุขเวลาทีมทำของเจ๋ง ๆ ให้ลูกค้าไปใช้แล้วบริษัทของเขาดีขึ้น โลกดีขึ้น เช่น โครงการอุบัติเหตุบนถนนที่พอทำแล้วมีคนให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่ได้แปลว่าผมด้อยค่าการเมืองนะ มันแค่ไม่เหมาะกับเรา

ความจริงคุณพ่อผมก็พูดถูกว่า ถ้าอยากผลักดันอะไรที่สร้างอิมแพคสูง ต้องทำผ่านระบบการเมือง ผมเห็นด้วยนะ แต่มันไม่เหมาะกับเรา นอกจากนี้ยังเชื่อว่า มีอีกหลายช่องทางที่จะทำประโยชน์ให้สังคมในระดับที่เราพอใจได้ ที่สำคัญคือการใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้ผมมีเวลากับครอบครัว ตอนนี้ผมมีลูกชาย 2 คน คนโตอายุ 5 ขวบ ส่วนคนเล็กเพิ่ง 8 เดือน

ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ในบทบาทพ่อเป็นอย่างไรครับ

รู้สึกว่าชีวิตมีจุดหมายขึ้น (ยิ้ม) ผมพยายามแบ่งเวลาให้ลูกเท่าที่ทำได้ อาจไม่เยอะเท่าคนอื่น เพราะต้องทำงานหลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้ทำเองทั้งหมดนะ พยายามหาคนเก่ง ๆ มาช่วยงานต่อ เพื่อจะมีเวลาบางส่วนใช้กับครอบครัว ซึ่งคุ้มมาก การใช้เวลากับลูกก็เพื่อตัวผมเองด้วยแหละ เพราะผมอยากผูกพันและเติบโตไปกับเขา แล้วความสัมพันธ์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตอนลูกยังเด็กนี่แหละ จะให้ทำงานหนักแล้วมาเจอเขาตอนอายุ 10 ขวบก็คงไม่ใช่ ผมโชคดีที่พอบริหารจัดการเวลาได้ ถึงแม้หลายครั้งที่ทำธุรกิจจะเครียดมาก แต่ต้องดีลและซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ เพื่อจะได้ใช้เวลาที่มีคุณภาพกับลูกได้เต็มที่

พูดถึงภรรยาบ้าง ทราบมาว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ผลักดันให้ณภัทรก้าวเข้าสู่ถนนนักเขียน

ใช่ครับ เราเจอกันตอนเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยคอร์เนล เธอเรียนคณะวิศวะ แล้วความที่ผมเป็นเด็กเนิร์ดอย่างที่เล่าให้ฟัง เดตของเราคือการไปห้องสมุดในวันเสาร์อาทิตย์ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม เพราะผมต้องอ่านหนังสือ เธอก็ซวย เพราะต้องอยู่ด้วยกัน (หัวเราะ)

ส่วนเรื่องเขียนหนังสือ ความที่เรามีเรื่องอยากเล่าเยอะ บางทีนึกไอเดียอะไรออกก็จด ๆ ไว้ แล้วเขียนให้เพื่อนอ่าน ภรรยาก็เลยบอกให้ไปเขียนบทความในบล็อก ซึ่งต่อมาคือ settakid.com จากนั้นก็ได้เป็นคอลัมนิสต์ให้กับสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ส่วนใหญ่จะเขียนเรื่องความสัมพันธ์ของข้อมูลกับโลกธุรกิจและนโยบาย ซึ่งในขณะนั้นเป็นเรื่องใหม่มาก ๆ ทำให้มีคนรู้จักเรามากขึ้น และต้องบอกว่าการเขียนเป็นทักษะที่สำคัญต่อการทำงานและธุรกิจมาก เพราะทำให้เราได้ฝึกคิด ไตร่ตรอง และเล่าเรื่องอยู่ตลอดเวลา

เล่าถึง ‘อาทาเดีย’ ผลงานหนังสือเล่มแรกหน่อยว่า มีจุดเริ่มต้นอย่างไร

มาจากการทำงานทั้งหมด ตั้งแต่ตอนทำวิจัยจนกลับเมืองไทย หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนคำถามส่วนตัวของผมว่า มีอะไรมากกว่าการทำบิ๊กดาต้า ปัญญาประดิษฐ์ หรือมาเสวนาเรื่อง Open ฏata กันเถอะ มันมีอะไรมากกว่าการเป็นกระแส และจะสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม มันมีบทบาทเสมอ

อาทาเดีย จะมีทั้งส่วนที่เป็นข้อมูลจริงและนิยาย ถ้าใครเคยดูซีรีส์ Black Mirror ที่เล่าถึงมุมมืดของสังคมในวันที่เทคโนโลยีไปไกล หนังสือเล่มนี้จะเล่าเรื่องประมาณนั้น ผ่านเมืองในจินตนาการที่พอจะเป็นไปได้ในอนาคต เพื่อให้คนอ่านเห็นว่า ถ้าเทคโนโลยีพวกนี้ไปสุดจะทำอะไรได้บ้าง เช่น สามารถอ่านใจจนรู้ว่าเราต้องการอะไร หรือตั้งแต่เกิดมาก็วิเคราะห์ได้ว่าคนนี้จะตายวันไหน บริษัทประกันต้องคิดเงินเท่าไร หรือถ้าเจอคนที่สนใจ ก็จะมีระบบคิดให้ว่า คนนี้ไม่ใช่เนื้อคู่ ยังมีคนที่ดีกว่านี้

มีส่วนหนึ่งในหนังสือที่บอกว่า เรื่องราวใน อาทาเดีย จะเป็นจริงหรือไม่ ขึ้นกับว่าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อไร

ใช่ แน่นอนว่า อาทาเดีย เป็นนิยายที่คาดการณ์อนาคต ไม่ได้จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมใช้เวลาเขียนหนังสือเล่มนี้ 3 ปี หลายเรื่องที่เขียนในวันแรกก็เริ่มจริงขึ้นมาแล้ว เช่น ผมเขียนว่า เดี๋ยวนี้เอไอ (AI : ปัญญาประดิษฐ์) วาดรูปได้ดีขึ้น พอวันที่หนังสือเล่มนี้เสร็จ ความสามารถของเอไอก็ก้าวกระโดดมาไกลแล้วจริง ๆ

ประเด็นสำคัญที่หนังสือเล่มนี้อยากชวนคิดคือ เราควรมีสติรับมือและตื่นรู้กับโลกของเทคโนโลยีอย่างไร โดยเฉพาะคำถามยาก ๆ เกี่ยวกับจริยธรรมและความสัมพันธ์ เทคโนโลยีใหม่ทำให้เรามีชีวิต การทำงาน และอยู่ในสังคมที่ดีขึ้นได้ ถ้าคุณใช้เทคโนโลยีข้อมูลเหล่านั้นอย่างถูกต้อง

อย่างวัยรุ่นยุคนี้ใช้แอปพลิเคชันหาคู่เยอะขึ้น ไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะ ในเชิงเศรษฐศาสตร์ถือว่าดี เพราะมันช่วยหาคู่ให้ แต่บางทีก็เป็นสังคมได้อย่างใจเกินไป มันอาจไม่ได้ดีที่สุดกับการเชื่อมโยงผู้คน เพราะมันพิสูจน์แล้วกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลายอันที่ต้องการเชื่อมโยงเพื่อน สร้างเน็ตเวิร์ก แต่ทุกวันนี้กลายเป็นแพลตฟอร์มโฆษณา ซึ่งบางครั้งเป็นการโฆษณาตัวเองด้วย พอพูดแบบนี้ บางครั้งผมก็เป็นแบบนั้น เช่น เวลาได้รับเชิญไปพูดที่งานหนึ่ง ด้วยความเกรงใจเจ้าของงาน ผมก็โพสต์ว่าเราไปงานนี้มานะ

อยากให้ลองถามตัวเองว่า ในหนึ่งวัน เวลาทำอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นเป็นความคิดของตัวเองกี่เปอร์เซ็นต์ ต้นตอมาจากสมองหรือเปล่า หรือโดยยัดเยียดอะไรบ้าง เช่น ใกล้ ๆ เที่ยงมีคอนเทนต์โปรโมชันอาหารขึ้นมาให้เลือก หรือเดินเข้าห้างปุ๊บ โทรศัพท์มือถือก็เด้งข้อความของผลิตภัณฑ์ในห้างนั้นขึ้นมา บางทีเราใช้ชีวิตจนลืมคิดไปแล้วว่า วันนี้อยากคุยกับใคร อยากซื้ออะไร เพราะโซเชียลมีเดียจะฟีดขึ้นมาให้ว่า เพื่อนคนต่อไปของเราจะเป็นใคร บริษัทพวกนี้ต้องการกำไร เพราะฉะนั้น เขาจะทำให้เราใช้เวลาอยูบนแพลตฟอร์มให้นานที่สุด

มีช่วงหนึ่งที่ผมเลิกใช้โซเชียลมีเดียไปพักหนึ่ง ชีวิตรู้สึกออร์แกนิกขึ้นเยอะเลย อยากคุยกับใครก็คิดเอง ไม่ต้องให้โซเซียลมีเดียเด้งรูปใครขึ้นมา อันนี้เป็นจุดที่ผมคิดว่า คนทั่วไปจะเข้าถึงหนังสือเล่มนี้มากที่สุด ถ้าเขาแคร์นะ เพราะบางคนก็ไม่แคร์ เพราะมันง่ายมากที่เราจะเป็นทาสแพลตฟอร์ม ซึ่งไม่ผิดหรอก แต่ผมมองว่าเรื่องความคิดกับตัวตนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์กับคน

คำถามคือ ประชาชนอย่างเราจะทำอะไรไหม หรือจะนั่งไถฟีดไปเรื่อย ๆ แล้วตกลงตัวตนของเราคือใคร และต้องการอะไรจริง ๆ กันแน่

big data Cloud of Thoughts Data technology ผู้บริหาร

Home /Interview/Cloud of Thoughts

21 ธันวาคม 2565

Share on

  • Facebook iconFacebook
  • Twitter iconTwitter
  • LINE iconLine

ผู้คนอายุน้อยหลากหลายสัญชาติเดินกันขวักไขว่ ทักทายพูดคุยกันตามทางเดินห้องเรียน

บางคนเปิดประตูเข้าไปใช้ห้องอ่านหนังสือส่วนตัวเพราะต้องการใช้สมาธิ

บางคนเดินเลยไปถึงบาร์ที่เต็มไปด้วยขนมและบอร์ดเกมให้ยืมเล่น

บางคนก็ยังยืนคุยอยู่กับผู้สอนที่เพิ่งบรรยายจบไปเมื่อครู่

มหาวิทยาลัยบรรยากาศสดใสนามว่า ‘Harbour.Space’ ที่เรามาในวันนี้ เป็นส่วนเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในอาคารมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยอีกทีหนึ่ง

ความแปลกใหม่ของระบบการเรียน เป็นเหตุผลที่ทำให้เรามายืนอยู่ที่นี่ในวันนี้ ทั้งการเรียนไปพัฒนาสตาร์ทอัพของตัวเอง การเรียนแบบทีละวิชาอย่างเข้มข้น จบวิชาหนึ่งค่อยต่ออีกวิชาหนึ่ง การที่ผู้สอนเป็นผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละสายงานที่ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาโทหรือเอก รวมถึงมีระบบการให้ทุนสำหรับนักศึกษาที่มีความสามารถ ทั้งหมดทั้งมวลนี้มาจากแพสชันของหญิงสาวจากยูเครน ผู้เคยขาดโอกาสทางการศึกษา

“สวัสดีค่ะ! ฉันชื่อ Lana เป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Harbour.Space University” 

สตรีในเชิ้ตขาวนามว่า Svetlana Velikanova หรือที่ใคร ๆ เรียกง่าย ๆ ว่า ‘Lana’ นั่งลงข้าง ๆ เราในโต๊ะจีนมื้อค่ำ และกล่าวแนะนำตัวอย่างเรียบง่ายหลังจากที่ไปเผชิญรถติดกรุงเทพฯ มา เธอดูกระตือรือร้นพร้อมจะพูดคุยมาก ๆ จนเรารู้สึกอุ่นใจว่าบทสนทนานี้จะราบรื่นไปด้วยดี

อยากรู้แล้วสิว่าคนที่คิดหลักสูตรนอกกรอบนี้ขึ้นมา ผ่านประสบการณ์ชีวิตและการศึกษาอย่างไรมาบ้าง

เด็กหญิงผู้ไม่มีกางเกงยีนส์ใส่

Svetlana เกิดและเติบโตที่ยูเครน ในเมืองยากจนอย่าง Mariupol จนเมื่อปี 2014 เกิดสงครามในเมือง ทำให้เธอต้องจากประเทศมา เราออกจะแปลกใจนิดหน่อย เพราะ Harbour.Space มีต้นตอมาจากประเทศสเปน เลยพาลนึกไปว่าผู้ก่อตั้งจะมาจากสเปนด้วย

“เมืองที่ฉันอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต มันเป็นเมืองอุตสาหกรรมมาก ๆ เลย ผู้คนต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปทำงานที่โรงงานเย็บผ้า โรงงานถ่านหิน โรงงานเหล็ก” เธอเล่าถึงบรรยากาศของบ้านเกิดให้เราภาพตาม ในขณะที่พักจากทานอาหาร

สมัยเด็ก ๆ ก่อนที่แม่จะแต่งงานกับพ่อ แม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอทำงานเป็นคุณครูอนุบาล นั่นทำให้ Svetlana โตมากับการนั่งฟังแม่พูดเรื่องการพัฒนาเด็ก

“อย่าเป็นครูเด็ดขาด” แม่เตือนเธอแบบนี้เสมอ “งานครูหนักมากนะ เธอต้องรักการเป็นครูจริง ๆ อย่าเป็นครูโดยที่ไม่รักวิชาชีพ”

Svetlana เติบโตมาในสังคมคอมมิวนิสต์ และศึกษาในโรงเรียนแสนธรรมดาค่อนไปทางแย่ในระบบของโซเวียต ทำให้เธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคำ ตรงกันข้ามกับตอนนี้ที่นั่งคุยกับเราด้วยภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อลื่นไหลจนเบรกไม่อยู่

“ในโรงเรียนของเรา ไม่มีใครคิดถึงความสำเร็จ ไม่มีใครคิดถึงอนาคต ไม่มีใครมีความหวัง” พูดจบเธอก็หัวเราะอีกครั้งตามประสาคนร่าเริง เราได้แต่นิ่ง ไม่ได้ร่วมหัวเราะไปกับเธอ เพราะสิ่งที่เพิ่งได้ยินไม่ได้น่าขำเท่าไรนัก

“เราแม่ลูกต้องใช้ชีวิตอยู่ในหอ สหภาพโซเวียตไม่นิยมชมชอบแม่เลี้ยงเดี่ยวหรอก เขาชอบครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ลูก ถ้าคุณเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว คุณจะเป็นคนสุดท้ายที่รัฐจะจัดหาสวัสดิการอะไรมาให้ ทั้งที่อยู่หรือการศึกษาลูก ฉะนั้น ฉันก็เลยโตมาในสภาพแวดล้อมที่แย่กว่าเด็กคนอื่นไปอีก”

ชีวิตวัยเด็กของเธอเป็นไปด้วยความยากลำบาก ใช้คำว่าลำบากเลยก็คงไม่มากไป หลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 แม่ของเธอก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้ว่าจะทำงานไม่ได้หยุด แต่ตลอด 6 ปี ตั้งแต่ 1991 จนถึง 1997 แม่ของเธอไม่ได้รับเงินเดือนแม้สักนิด

“เราซื้ออะไรไม่ได้เลย ได้แต่รอ รอ รอ ต่อคิวเพื่อจะได้ทุกอย่างมา ตอนเด็ก ๆ ฉันเคยหิวมากจนต้องขโมยอาหารมากิน ฉันก็เลยดร็อปเรียนหลายครั้งเพื่อมาทำงานจิปาถะที่พอจะหาได้

“ตอนนั้นฉันบอกแม่ว่า แม่ หนูไปโรงเรียนไม่ไหวแล้วนะ หนูต้องใส่ชุดสหภาพโซเวียต แต่คนอื่นเขาใส่กางเกงยีนส์ ทุกคนจะหัวเราะหนู” เธอเล่าถึงอดีต “ที่สำคัญ ฉันต้องทำงานหาเงินมาซื้อข้าวกินด้วย”

การที่เธอหยุดเรียนมาทำงานเป็นฝันร้ายของแม่เลยก็ว่าได้ แม่ถึงขั้นอ้อนวอนให้เธอกลับเข้าระบบการศึกษาอีกครั้ง แต่สำหรับเธอแล้ว สถานการณ์บีบให้เธอต้องเลือกระหว่างการเรียนและปากท้อง หากทำงาน เธอก็มีข้าวกิน แต่หากเลือกเรียนหนังสือ ก็ต้องอดข้าว บางทีชีวิตก็ไม่ได้ให้ทางเลือกกับคุณมากนัก

“ถึงอย่างนั้นฉันก็กลับไปเรียนจนจบไฮสกูลนะ พอเรียนจบฉันก็ไปเป็นดีเจในคลื่นวิทยุประจำเมือง ถึงจะต้องแข่งขันเพื่อให้ได้เข้าไป แต่พวกเขาก็เลือกฉัน เพราะฉันตลกแล้วก็พลังเยอะ” กระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังดูตลกและพลังเยอะ เหมาะกับอาชีพดีเจอยู่อย่างนั้น

หลังจากที่ทำงานไปได้สักพัก เธอก็ย้ายไปที่สำนักงานใหญ่ซึ่งอยู่ที่ Moscow ตามที่เธอต้องการ และพบกับคำพูดที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล

“ถ้าคุณให้บทเรียนชีวิตกับฉันได้สักหนึ่งอย่าง คุณจะพูดว่าอะไรเหรอ” Svetlana เอ่ยปากถามหัวหน้าในคลื่นวิทยุที่เธอเคารพ

“ถ้าคุณมีโอกาส จงเรียนภาษาอังกฤษ” เขาตอบอย่างหนักแน่น

จงเรียนภาษาอังกฤษ

ใช้การศึกษาเป็นตั๋วเดินทาง

เมื่อเติบโตอายุได้ 18 ปี Svetlana แต่งงานกับชายอายุมากกว่า 13 ปี ผู้อาสาช่วยทำความฝันของเธอให้เป็นจริง และความฝันของเธอในตอนนั้นก็คือการเรียนภาษาอังกฤษ ตามที่ได้รับคำแนะนำจากหัวหน้า

“ฉันได้เจอผู้คนที่น่าสนใจมากมายในโรงเรียนสอนภาษา และทุกคนอยากไปเรียนต่อที่อังกฤษหรืออเมริกา! การศึกษามันแพงมากเลยนะคุณ ฉันจะเอาเงินจากไหนมาเรียนตั้ง 50,000 ยูโรต่อปี และต้องเรียน 4 ปีกว่าจะจบ” เธอเล่าอย่างใส่อารมณ์ “จนกระทั่งเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งบอกฉันว่าที่ฟินแลนด์เรียนฟรี ถึงจ่ายก็จ่ายน้อยมาก ลองไปเรียนดูสิ ฉันก็เลยได้ไปเรียน International Business Administration and Economics ที่ฟินแลนด์”

ภาษาอังกฤษทำให้เด็กหญิงชาวยูเครนคนนี้ได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง ระหว่างเป็นนักศึกษา เธอได้พบกับ ‘คนเจ๋ง ๆ’ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น CEO ของ Nokia ในยุคที่กำลังบูมมาก ๆ หรือบริษัทระดับโลกอื่น ๆ แต่คนชอบคิดวิเคราะห์อย่างเธอ ก็ตั้งคำถามกับระบบการเรียนของฟินแลนด์ ประเทศที่ได้ชื่อว่าการศึกษาดีที่สุดในโลกเหมือนกัน

“มันแปลกนะ ไม่มีใครถามเราเลยว่าเราคิดยังไงกับวิชาที่ได้เรียนไป ทั้ง ๆ ที่เราเรียนแบบท่องจำหนังสือ แล้วถ้าสิ่งที่อยู่ในหนังสือมันไม่จริงล่ะ ทำไมเราไม่เคยได้ถกเถียงกันบ้าง

“ฉันเริ่มคิดว่าวันหนึ่งการศึกษาจะต้องเปลี่ยนไป และถ้ามีโอกาส วันหนึ่งฉันจะเปิดมหาวิทยาลัยที่แตกต่างจากที่เคยมีมาก่อน ที่ที่จะรับฟังความเห็นของนักเรียน ที่ที่นักเรียนจะพูดคุยกับครูได้” เธอพูดด้วยสายตาที่เป็นประกาย “ตอนนั้นฉันไม่มีเงินหรือความกล้าจะเปิดหรอกนะ แค่คิดไว้ในหัว”

ด้วยความคิดว่าปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเพราะไม่มีเงิน Svetlana จึงอยากทำงานธนาคาร หลังจากเรียนจบจากฟินแลนด์เธอจึงตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทด้าน Banking ที่สวิตเซอร์แลนด์และบาร์เซโลนา แล้วเรียนจบมาทำงานธนาคาร City Bank อย่างใจหวัง

“พอย้ายไปทำที่ Morgan Stanley ฉันเริ่มได้เงินเยอะมาก ๆ และกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านในตอนนั้น” จุดเปลี่ยนอีกจุดได้เกิดขึ้นแล้ว “ลองจินตนาการดู จากที่ไม่มีอะไรเลย อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นเศรษฐี! ฉันช็อกมาก”

สิ่งที่ Svetlana ทำหลังจากที่ตกใจกับความร่ำรวยของตัวเอง คือเธอเริ่มให้เงินผู้คนที่ไม่รู้ภาษาไปเรียนหนังสือ และส่งเสริมให้คนที่มีเงินใช้เงินไปกับการส่งเสริมการศึกษาของผู้อื่นด้วย

“ฉันคิดว่าไอเดียนี้มันเจ๋งมากนะ!” เธอระเบิดคำพูดอย่างตื่นเต้น “ฉันเป็นคนมั่นอกมั่นใจคนหนึ่ง เลยคิดไปถึงว่า ถ้าฉันไปโน้มน้าวให้ Bill Gates ที่มีเงินแสนล้าน ใช้เงินสนับสนุนการศึกษาสักพันล้าน จะมีผู้คนอีกตั้งกี่คนที่มีโอกาสได้เรียนโรงเรียนดี ๆ แต่ถึงอย่างนั้นคนขาดโอกาสก็มีมากมาย และเราต้องใช้เงินเยอะเกินไป ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือต้องสร้างระบบขึ้นมาใหม่”

ซึ่งระบบที่ว่า ก็คือระบบของ Harbour.Space มหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ที่เธอก่อตั้งในเวลาต่อมานั่นเอง

“ต้องขอบคุณการศึกษาจริง ๆ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันได้มาทุกวันนี้ คิดดูว่าถ้าฉันไม่ได้รับโอกาสจากสามีของฉัน จากประเทศต่าง ๆ ที่ได้ไปเรียน ชีวิตคงผิดไปจากนี้ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

“ฉันอยากสร้างโอกาสนี้ให้กับคนอื่น ๆ บ้าง”

มหาวิทยาลัยระบบใหม่

Harbour.Space University โดดเด่นเรื่องระบบให้ทุน พวกเขามีทุน 100% เหลือเฟือให้กับนักศึกษาที่มีพรสวรรค์และมีพอร์ตโฟลิโอที่ดี หลังจากที่มหาวิทยาลัยได้เจอคนเหล่านั้นผ่านการทำแคมเปญใน LinkedIn หรือช่องทางอื่น ๆ ก็จะนัดมาสัมภาษณ์เพื่อดูว่าสื่อสารภาษาอังกฤษได้แค่ไหน และหากสาขาที่ต้องการเรียนนั้นเป็นเชิงเทคนิค อย่าง Computer Science หรือ Data Science ก็จะต้องมีแบบทดสอบให้ทำก่อนรับเข้าเรียน

อีกระบบให้ทุนหนึ่งที่น่าสนใจ คือการที่ Harbour.Space ได้เป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัทชั้นนำหลายที่ แล้วเสนอนักเรียนเก่ง ๆ ให้ไปช่วยบริษัทเหล่านั้นทำงานระหว่างที่กำลังเรียนอยู่ (และไม่ต้องมีสัญญาผู้มัดหลังเรียนจบ) โดยบริษัทจะเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนการศึกษาให้ นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่หลายคนจะได้โอกาสดี ๆ ในชีวิต

ก่อนเราจะได้มาเจอ Svetlana เรามีโอกาสได้นั่งคุยกับเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยเกี่ยวกับความพิเศษ 5 อย่างของ Harbour.Space ที่สร้างสรรค์มาจากประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของ Svetlana นอกเหนือไปจากเรื่องทุนที่ได้กล่าวไป

อย่างที่ 1 Intensive Course : ผู้สอนไม่จำเป็นต้องจบ ป.โท หรือ ป.เอก แต่เป็นผู้มาจากอุตสาหกรรมนั้น ๆ จริง ๆ โดยนักศึกษาจะต้องเรียนทีละวิชา แต่ละวิชายาว 3 สัปดาห์ และเรียนทุกวัน วันละ 3 ชั่วโมง พอจบวิชาหนึ่งก็เรียนวิชาใหม่ต่ออีก 3 สัปดาห์ ซึ่งคลาสหนึ่งมีนักศึกษาแค่ 25 คน

อย่างที่ 2 Project-based Learning : นักศึกษาทุกคนจะถูกผลักดันให้คิดค้นโปรเจกต์ คิดสตาร์ทอัพของตัวเองขึ้นมาเมื่อเริ่มคลาสแรก แล้วนำสตาร์ทอัพนี้ไปพัฒนาต่อในคลาสต่อ ๆ ไป ซึ่งมีข้อดีตรงที่ผู้เรียนจะได้ใช้วิชาให้เป็นประโยชน์จริง ๆ

อย่างที่ 3 Global Environment : มหาวิทยาลัยมี 2 สาขา ได้แก่ สาขาบาร์เซโลนาและสาขากรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยนักศึกษาจากทั้งสองที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้

อย่างที่ 4 Interdisciplinary Skills : หากเรียนสาขาใดอยู่ แล้วไปสนใจศาสตร์ข้ามสาขา ก็ Take Course เพื่อเพิ่มทักษะได้

อย่างที่ 5 Customize Learning Plan : แต่ละปีจะมีคนให้คำปรึกษาว่าผู้เรียนรู้สึกชอบไม่ชอบวิชาอะไร ถนัดด้านไหน และช่วยวางแผนการเรียนต่อไป

“เราวางแผนจะให้อีก 1,000 ทุนในปีนี้” Svetlana บอกกับเรา “ฉันทำเพราะว่าฟินแลนด์ดีกับฉัน สเปนก็ดี สวิตเซอร์แลนด์ก็ด้วย พวกเขาให้โอกาสฉันได้เรียนหนังสือ ตอนนี้ฉันประสบความสำเร็จแล้วก็เลยอยากจะทำเพื่อคนอื่นบ้าง และหวังว่าสิ่งที่ฉันทำจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นเหมือนกัน”

ตอนนี้คุณมองการศึกษาในโลกนี้อย่างไรบ้าง? – เราถาม

“ความรู้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานะ แต่พวกเขาไล่อาจารย์คนเดิมออกไม่ได้” เธอหัวเราะดัง “บางทีก็คิดว่าทำไมวิชาบ้านี่ถึงยังสอนในมหาวิทยาลัยอยู่ได้ เชยมาก ๆ เลย”

แล้ววิชาอะไรล่ะ ที่คุณจะแนะนำเด็ก ๆ เจเนอเรชันใหม่ให้เรียน

“ภาษาที่น่าเรียนที่สุดตอนนี้คือ Coding” CEO ตอบทันควัน เธอบอกว่าตอนนี้กำลังทำโครงการสอนวิชา Coding และ Mathematics ให้กับเด็ก ๆ อายุ 10-18 ปี อยู่ด้วย “Design ก็อะเมซิ่งนะคุณ ไม่ใช่แค่ความงาม แต่มันคือกระบวนการ Design ที่ประยุกต์ใช้ได้กับทุกสิ่ง แม้แต่เวลาจะทะลายกรอบระบบการศึกษาเก่า ๆ เราก็ต้องใช้ดีไซเนอร์

“ฉันคิดว่า Coding, Design รวมถึง Leadership และ Enterpreneurship ด้วย ฉันอยากให้คนรุ่นใหม่ทำอะไรเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปเข้า Google หรอก! ทำสิ่งที่ดีกว่านั้น!” Svetlana ยิ้มกว้าง

หลังจากนั้น เราได้ฟังเธอเล่าอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการศึกษาในประเทศไทยในมุมของเธอ การเรียนการสอนออนไลน์ระหว่างที่มีวิกฤตการณ์โรคระบาด ไปจนถึงเล่าเหตุการณ์สนุก ๆ หลายอย่างที่เจอในการมาเยือนกรุงเทพฯ ในครั้งนี้ กว่าจะแล้วใจเวลาก็ล่วงเลยไปถึง 4 ทุ่ม 

“ความหวังของฉันคือการที่ผู้มีอิทธิพลและมีทรัพยากรจะลุกขึ้นมาแก้ปัญหาการศึกษามากขึ้น มันไม่ได้ยากนะ ถ้าฉันเป็นนายกฯ ประเทศไทย ฉันรู้ว่าจะทำยังไง มันไม่ต้องใช้เงินมากมายเลย แค่เปลี่ยนวิธีคิด”

ไอโซโทนกันคืออะไร

ไอโซโทน (Isotone) หมายถึง ธาตุต่างชนิดกันที่มีจำนวนนิวตรอนเท่ากัน แต่มีเลขมวลและเลข อะตอมไม่เท่ากัน เช่น เป็นไอโซโทนกัน

ข้อใดหมายถึง ไอโซบาร์

ไอโซบาร์(Isobar)หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกัน แต่มีเลขมวลเท่ากัน ตัวอย่างไอโซบาร์เช่น ตารางสรุปความหมายของไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบาร์

ไอโซโทปมีอะไรเหมือนกัน

ไอโซโทป คือ ธาตุที่มีเลขอะตอมเหมือนกันแต่มีเลขมวลต่างกันหรือธาตุที่มีจำนวน Proton เท่ากันแต่มี จำนวน neutron ต่างกัน เช่น การหาไอโซโทปจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Mass spectrometer.

ไอโซโทป ( isotope ) หมายถึงอะไร

ไอโซโทป (อังกฤษ: isotope) เป็นความแตกต่างขององค์ประกอบทางเคมีที่เฉพาะเจาะจงของธาตุนั้นซึ่งจะแตกต่างกันในจำนวนของนิวตรอน นั่นคืออะตอมทั้งหลายของธาตุชนิดเดียวกัน จะมีจำนวนโปรตอนหรือเลขอะตอมเท่ากัน แต่มีจำนวนนิวตรอนต่างกัน ส่งผลให้เลขมวล(โปรตอน+นิวตรอน)ต่างกันด้วย และเรียกเป็นไอโซโทปของธาตุนั้น ๆ.

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv Terjemahan แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip lmyour แปลภาษา ไทยแปลอังกฤษ ประโยค แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษาอาหรับ-ไทย Bahasa Thailand app แปลภาษาไทยเป็นเวียดนาม พจนานุกรมศัพท์ทหาร ยศทหารบก ภาษาอังกฤษ สหกรณ์ออมทรัพย์กรมส่งเสริมการปกครอง ส่วนท้องถิ่น แปลภาษาเวียดนามเป็นไทยทั้งประโยค กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีทั้งหมดกี่ภาค มัจจุราชไร้เงา 1 mono29 มัจจุราชไร้เงา 1 pantip มัจจุราชไร้เงา 3 pantip รายชื่อวิทยานิพนธ์ นิติศาสตร์ 2563 ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง แปลภาษาอิสลามเป็นไทย ่้แปลภาษา Google Drive กรมการปกครอง กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ที่อยู่สมุทรปราการ ภาษาอังกฤษ ประปาไม่ไหล วันนี้ มหาวิทยาลัยรามคําแหง เปิดรับสมัคร 2566 มัจจุราชไร้เงา 2 facebook ราคาปาเจโร่มือสอง สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น หนังสือราชการ ส ถ หยน ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คาราโอเกะ อาจารย์ ตจต Google Form Info arifureta shokugyou de sekai saikyou manga online legendary moonlight sculptor www.niets.or.th ประกาศผลสอบ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีอะไรบ้าง ข้อสอบภาษาอังกฤษ พร้อมเฉลย pdf