มีใครหลายคนเคยพูดว่าคนไทยนี่เก่งไม่แพ้ชาติไหนในโลก สังเกตได้จากการแข่งขันต่าง ๆ เช่น ถ้าเป็นด้านวิชาการเด็กไทยเราไปแข่ง คณิตฯ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะฯ โอลิมปิกได้เหรียญทองเหรียญเงินมาทุกปี ถ้าเป็นด้านกีฬา เราเองก็มีนักกีฬา ระดับโลกมาหลายชนิด เช่น สนุกกเอร์ เทนนิส มวยสากล ยกน้ำหนัก และยังมีด้านอื่นๆ อีกมากมาย แต่ก็นั่นแหละคน ๆ เดิมก็พูดเพิ่มเสริมให้อีกว่ายกเว้นการแข่งขันหรือกิจกรรมที่ทำกันเป็นทีม คนไทยมักไปไม่ถึงดวงดาว ดังที่เห็นเช่นในเหตุการณ์ปัจจุบันทั่วไป
และข่าวดังล่าสุดระดับโลก(ที่คนไทยไม่อยากให้ดังเลย) คือข่าวนักแบดมินตันไทยไล่ต่อยกันเองระหว่างแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ที่ประเทศแคนนาดา
ผมไม่รู้ว่านักกีฬาสองคนนั้นมีปัญหากันมาก่อนมากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารแล้วก็ใจหาย ใจหายในฐานะที่ตนเองอยู่ในวงการการศึกษาที่เห็นว่าแนวโน้มความรุนแรง และการทักษะการทำงานเป็นทีมของเด็ก ๆ ของเราต่ำจนน่าตกใจว่าต่อไปถ้าไม่รีบแก้ไขทักษะนี้ เมืองไทยคงมีแต่พวกหัวโตเรียนเก่งเห็นแก่ตัว ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
พิสูจน์ง่าย ๆ ถ้าบอกให้นักเรียนในห้องช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียนตัวเองโดยที่ไม่ระบุชื่อใคร หรือให้ไปปรึกษาหารือการทำความสะอาดตกแต่งห้องเรียนและลงมือทำเอง เชื่อว่า10ห้องจะสำเร็จได้ไม่เกิน 1-2ห้อง โดยเฉพาะกับนักเรียนมัธยมอาจจะไม่สำเร็จเลยก็ได้ ทำไมกัน เด็กๆของเราไม่มีความสามารถหรือไม่มีคุณภาพพองั้นหรือครับ คำตอบที่ได้คือไม่ใช่เลยครับ ถ้าให้ทำงานเดี่ยวของตนเอง ผลที่ได้คือส่วนมากงานสำเร็จ และหลายงานเป็นงานที่สำเร็จแบบยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
เป็นไปได้ไหมครับ
เหตุผลที่เด็ก ๆ ไม่ชอบทำงานเป็นทีมหรือไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเพราะการเรียนในปัจจุบันไม่ค่อยให้ความสำคัญกับทักษะ ดังกล่าว เราเน้นการแข่งขันและผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เราเน้นการมอบงานเดี่ยว เพราะไม่อยากให้คนขี้เกียจมาเป็นภาระให้เด็กเก่ง เราเน้นการเรียนการสอนเฉพาะในห้องเรียนเพราะนอกห้องเรียนไม่ใช่หน้าที่ของเรา(อีกแล้ว) และที่สำคัญ ผู้ใหญ่อย่างเราทุกคนเป็นตัวอย่างของความขัดแย้ง การไม่ยอมลดราวาศอกในความคิดของตัวเอง ถ้าผู้ใหญ่ในสังคมยังเอาความคิดของตนเองเป็นหลักอย่างนี้
ในอนาคตข้างหน้าเราคงได้อ่านข่าวประเภทที่ว่า "มีนักกีฬาคนไทย ทะเลาะวิวาทกันเองในการแข่งขันระดับนานาชาติ" อีกบ่อยครับ
จิรเมธขฐ์ บันทึกที่ชั้นล่าง ที่บ้านหลังเดิม
18.30 น.
สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี
[คำอ่าน : สุ-ขา, สัง-คัด-สะ, สา-มัก-คี]
“ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะทำให้เกิดสุข”
(ขุ.ธ. ๒๕/๔๑, ขุ.อิติ. ๒๕/๒๓๘, องฺ.ทสก. ๒๔/๘๐)
สามัคคี แปลว่า ความพร้อมเพรียง หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของหมู่คณะ คือของกลุ่มคนที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มก้อนเป็นจำนวนมาก
คุณธรรมข้อนี้ถือเป็นคุณธรรมที่สำคัญมากสำหรับบุคคลทั้งหลายผู้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ เพราะกิจกรรมบางอย่าง ไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยบุคคลแค่เพียงคนเดียว ต้องอาศัยความร่วมมือของคนหมู่มากช่วยกันจึงจะสำเร็จได้
ถ้าคนในกลุ่มเดียวกันหรือสังคมเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสังคมขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตาม ขาดความสามัคคี คือแตกคอกันเสียแล้ว การอยู่ร่วมกันของคนเหล่านั้นย่อมไม่ก่อความสุข มีแต่จะทะเลาะเบาะแว้งกัน ชิงดีชิงเด่น หรือทำร้ายกันเลยก็เป็นได้
แต่หากคนในสังคมนั้นมีน้ำจิตน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน งานเล็กงานใหญ่ก็ช่วยเหลือกัน ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง ช่วยกันดูแลรักษา แบ่งปันน้ำใจไมตรีให้แก่กันและกัน ถ้าเป็นดังนี้ สังคมนั้น ๆ ย่อมจะมีแต่ความสุขความเจริญ อันเป็นผลมาจากความสามัคคีของหมู่คณะนั่นเอง
สารบัญ พุทธศาสนสุภาษิต
- อัตตวรรค หมวดตน
- อัปปมาทวรรค หมวดความไม่ประมาท
- กัมมวรรค หมวดกรรม
- กิเลสวรรค หมวดกิเลส
- โกธวรรค หมวดความโกรธ
- ขันติวรรค หมวดความอดทน
- จิตตวรรค หมวดจิต
- ชยวรรค หมวดความชนะ
- ทานวรรค หมวดทาน
- ทุกขวรรค หมวดทุกข์
- ธัมมวรรค หมวดธรรม
- ปกิณกวรรค หมวดเบ็ดเตล็ด
- ปัญญาวรรค หมวดปัญญา
- ปมาทวรรค หมวดความประมาท
- ปาปวรรค หมวดบาป
- ปุคคลวรรค หมวดบุคคล
- ปุญญวรรค หมวดบุญ
- มัจจุวรรค หมวดความตาย
- มิตตวรรค หมวดมิตร
- ยาจนาวรรค หมวดการขอ
- ราชวรรค หมวดพระราชา
- วาจาวรรค หมวดวาจา
- วิริยวรรค หมวดความเพียร
- เวรวรรค หมวดเวร
- สัจจวรรค หมวดความสัตย์
- สติวรรค หมวดสติ
- สัทธาวรรค หมวดศรัทธา
- สันตุฏฐิวรรค หมวดสันโดษ
- สมณวรรค หมวดสมณะ
- สามัคคีวรรค หมวดสามัคคี
- สีลวรรค หมวดศีล
- สุขวรรค หมวดความสุข
- เสวนาวรรค หมวดการคบหา
ดูอักษรย่อบอกนามคัมภีร์ได้ที่นี่
สนใจเรื่องเหล่านี้ไหม: