ANSI-SPARC สถาปัตยกรรมที่ ANSI-SPARC ย่อมาจากAmerican National Standards Instituteมาตรฐานการวางแผนและความต้องการของคณะกรรมการเป็นมาตรฐานการออกแบบนามธรรมสำหรับบริหารระบบฐานข้อมูล (DBMS)
เสนอครั้งแรกในปี 1975 [1]
ANSI-SPARC สถาปัตยกรรมสามระดับ
อย่างไรก็ตาม โมเดล ANSI-SPARC ไม่เคยกลายเป็นมาตรฐานที่เป็นทางการ ไม่มีระบบ DBMS หลักใดที่อิงตามระบบทั้งหมด (มักไม่แสดงความเป็นอิสระทางกายภาพอย่างสมบูรณ์หรือเพื่อป้องกันการเข้าถึงของผู้ใช้โดยตรงไปยังระดับแนวคิด) แต่แนวคิดของความเป็นอิสระของข้อมูลเชิงตรรกะนั้นถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย
สถาปัตยกรรมสามระดับ
วัตถุประสงค์ของสถาปัตยกรรมสามระดับคือเพื่อแยกมุมมองของผู้ใช้
- อนุญาตให้ผู้ใช้ปรับแต่งมุมมองอิสระ: ผู้ใช้แต่ละคนควรสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน แต่มีมุมมองที่กำหนดเองที่แตกต่างกันของข้อมูล สิ่งเหล่านี้ควรเป็นอิสระ: การเปลี่ยนแปลงมุมมองหนึ่งไม่ควรส่งผลกระทบต่อผู้อื่น
- มันซ่อนรายละเอียดที่เก็บข้อมูลจริงจากผู้ใช้: ผู้ใช้ไม่ควรต้องจัดการกับรายละเอียดการจัดเก็บฐานข้อมูลจริง
- ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูลควรสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการจัดเก็บฐานข้อมูลได้โดยไม่กระทบต่อมุมมองของผู้ใช้
- โครงสร้างภายในของฐานข้อมูลไม่ควรได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของที่เก็บข้อมูล: ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงไปยังดิสก์ใหม่
สามระดับคือ:
- ระดับภายนอก (มุมมองผู้ใช้): มุมมองฐานข้อมูลของผู้ใช้อธิบายส่วนหนึ่งของฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้รายใดรายหนึ่ง โดยไม่รวมข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องรวมถึงข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง
- ระดับแนวคิด : ระดับแนวคิดคือวิธีการอธิบายว่าข้อมูลใดถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลทั้งหมด และข้อมูลมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ระดับแนวคิดไม่ได้ระบุวิธีการจัดเก็บข้อมูลทางกายภาพ ข้อเท็จจริงที่สำคัญบางประการเกี่ยวกับระดับนี้คือ:
- DBA ทำงานในระดับนี้
- อธิบายโครงสร้างผู้ใช้ทั้งหมด
- เฉพาะ DBA เท่านั้นที่สามารถกำหนดระดับนี้ได้
- มุมมองทั่วโลกของฐานข้อมูล
- เป็นอิสระจากฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
- ระดับภายใน : ระดับภายในเกี่ยวข้องกับการแสดงฐานข้อมูลทางกายภาพบนระบบคอมพิวเตอร์ อธิบายวิธีการจัดเก็บข้อมูลจริงในฐานข้อมูลและฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์
สถาปัตยกรรมสามระดับมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ แต่ด้วยมุมมองที่เป็นส่วนตัว ระยะห่างของระดับภายในจากระดับภายนอกหมายความว่าผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบวิธีการจัดเก็บข้อมูลทางกายภาพในฐานข้อมูล การแยกระดับนี้ยังอนุญาตให้ผู้ดูแลฐานข้อมูล (DBA) เปลี่ยนโครงสร้างการจัดเก็บฐานข้อมูลโดยไม่กระทบต่อมุมมองของผู้ใช้
สคีมาฐานข้อมูล
สคีมามีสามประเภทที่สอดคล้องกับสามระดับในสถาปัตยกรรม ANSI-SPARC:
- สคีมาภายนอกอธิบายมุมมองภายนอกต่างๆ ของข้อมูล และอาจมีสคีมาภายนอกจำนวนมากสำหรับฐานข้อมูลที่กำหนด
- สคีแนวคิดอธิบายทุกรายการข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพร้อมกับข้อ จำกัด ของความสมบูรณ์ (ต่อ) มีสคีมาแนวคิดเดียวเท่านั้นต่อฐานข้อมูล
- สคีภายในที่ระดับต่ำสุดมีคำจำกัดความของการบันทึกเก็บไว้วิธีการของการเป็นตัวแทนของเขตข้อมูลและจัดทำดัชนี มีสคีมาภายในเพียงหนึ่งรายการต่อฐานข้อมูล
คำอธิบายโดยรวมของฐานข้อมูลที่เรียกว่าคีมาฐานข้อมูล
ดูสิ่งนี้ด้วย
- แนวทางสามสคีมา
- ดูรุ่น
อ้างอิง
- ^ มาตรฐาน ANSI / / กลุ่ม X3 SPARC ศึกษาข้อมูลระบบการจัดการฐาน: (1975)รายงานระหว่างกาล FDT , แถลงการณ์ ACM SIGMOD เล่มที่ 7 ฉบับที่ 2
อ่านเพิ่มเติม
- จาร์ดีน, โดนัลด์ เอ. (1977). มาตรฐาน ANSI / SPARC รุ่น นอร์ธฮอลแลนด์ผับ บริษัทISBN 0-7204-0719-2.
สถาปัตยกรรมระบบฐานข้อมูล (Database System Architecture)
เป็นกรอบสำหรับใช้อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับฐานข้อมูลทั่วไปและสำหรับอธิบายโครงสร้างของระบบฐานข้อมูล
แต่ไม่ได้หมายความว่าระบบฐานข้อมูลทุกระบบจะต้องเป็นไปตามกรอบ
เพราะบางระบบที่เป็นระบบขนาดเล็กอาจไม่จำเป็นต้องทุกลักษณะตามสถาปัตยกรรมนี้
อย่างไรก็ตาม
เราถือว่าสถาปัตยกรรมนี้เหมาะสมกับระบบฐานข้อมูลส่วนใหญ่เป็นอย่างดีและเป็นไปตามมาตรฐานที่หน่วยงาน ANSI/SPARC ได้กำหนดไว้ ANSI/SPARC Study Group on Data Base Management System เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานทั่วไปของระบบฐานข้อมูลในสหรัฐฯ
ระดับของสถาปัตยกรรม แบ่งได้ 3 ระดับ ได้แก่
1. ระดับภายใน (The Internal Level) บางทีเรียกว่า the physical level
ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับการจัดเก็บทางกายภาพมากที่สุด
2. ระดับภายนอก (The External Level) ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับผู้ใช้มากที่สุด
3. ระดับแนวคิด (The Conceptual Level) ซึ่งเป็นระดับที่อยู่กลางทางระหว่างของระดับที่กล่าวมา
ความสำคัญของระบบฐานข้อมูล
1. ความกะทัดรัด การบันทึกข้อมูลลงในระบบคอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลไว้ได้เป็นจำนวนมากในที่เดียวกัน อยู่ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประหยัดพื้นที่
ไม่เกะกะอย่างในเอกสารที่เป็นกระดาษ
2. ความรวดเร็ว เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบฐานข้อมูลสามารถค้นคืนและปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ได้เร็วกว่ามือมนุษย์มาก
3. ความเบื่อหน่ายน้อยกว่า
ในการดูแลรักษาแฟ้มข้อมูลที่เป็นกระดาษเป็นงานที่หนักกว่ามากหากเปรียบเทียบกับแฟ้มข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์
4. ความถูกต้องเป็นปัจจุบัน
ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล
1. ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสามารถใช้ร่วมกันได้ (The data can be shared) ตัวอย่างเช่น – โปรแกรมระบบเงินเดือนสามารถเรียกใช้ข้อมูลรหัสพนักงานจากฐานข้อมูลเดียวกับโปรแกรมระบบการขายตามภาพในตอนท้าย ที่ผ่านมา เป็นต้น
2. ระบบฐานข้อมูลสามารถช่วยให้มีความซ้ำซ้อนน้อยลง (Redundancy can be reduced) ที่ลดความซ้ำซ้อนได้ เพราะเก็บแบบรวม
3. ระบบฐานข้อมูลช่วยหลีกเลี่ยงหรือลดความไม่คงที่
4. ระบบฐานข้อมูลสนับสนุนการทำธุรกรรม (Transaction support can de provided) ธุรกรรม คือ ขั้นตอนการทำงานหลายกิจกรรมย่อยมารวมกัน
5. ระบบฐานข้อมูลสามารถช่วยรักษาความคงสภาพหรือความถูกต้องของข้อมูลได้ (Integrity can
be maintained) โดยผู้บริหารฐานข้อมูลเป็นผู้กำหนดข้อบังคับความคงสภาพ
ตามที่ผู้บริหารข้อมูล (DA) มอบหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงข้อมูลในฐานข้อมูลทีโดยไม่ถูกต้อง
6. สามารถบังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย (Security can be enforced) กล่าวคือ ผู้บริหารฐานข้อมูลสามารถกำหนดข้อบังคับเรื่องปลอดภัย
7. ความต้องการที่เกิดข้อโต้แย้งระหว่างฝ่าย สามารถประนีประนอมได้
8. สามารถบังคับให้เกิดมาตรฐานได้ (Standards can be enforced)
9. ระบบฐานข้อมูลให้เกิดความเป็นอิสระของข้อมูล (Data Independence)
เป็นประโยชน์ข้อสำคัญที่สุดเพราะทำให้ข้อมูลไม่ขึ้นอยู่กับการแทนค่าข้อมูลเชิงกายภาพ
ความเป็นอิสระของข้อมูลมี 2 ชนิด คือ
9.1
ความเป็นอิสระทางกายภาพ
9.2 ความเป็นอิสระทางตรรกะ
ในระบบฐานข้อมูล
เราไม่ควรให้ปล่อยโปรแกรมประยุกต์ขาดความเป็นอิสระของเป็นอย่างยิ่งข้อมูลเพราะ
1. โปรแกรมประยุกต์คนละตัวกันจะต้องมีมุมมองขอข้อมูลเดียวกันในรูปแบบที่แตกต่างกัน
2. ผู้บริหารฐานข้อมูล ต้องมีอิสระที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการแทนค่าทางกายภาพ
หรือเปลี่ยนเทคนิคในการเข้าถึงเพื่อสนองตอบความจำเป็นที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ที่มีใช้กันอยู่
ความเป็นอิสระของข้อมูล(Dataindependence)
จุดประสงค์หลักของสถาปัตยกรรม
3 ระดับคือ ความเป็นอิสระของข้อมูล
ซึ่งหมายถึง
ระดับที่อยู่ข้างบนจะไม่กระทบจากการเปลี่ยนแปลงในระดับล่าง แบ่งความเป็นอิสระของข้อมูลออกเป็น 2 ประเภท คือ
ความเป็นอิสระของข้อมูลทางตรรกะ(Logical dataindependence) หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงในระดับแนวคิดจะไม่ส่งผลกระทบต่อระดับภายนอก เช่น
การเพิ่มเอนติตี้ , แอททริบิวท์ และความสัมพันธ์
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับแนวคิด
จะไม่กระทบกับมุมมองภายนอก
หรือไม่ต้องเขียนโปรแกรมใหม่
ความเป็นอิสระของข้อมูลในระดับกายภาพ(Physical datindependence) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในระดับภายในไม่ส่งผลกระทบต่อระดับแนวคิด การเปลี่ยนแปลงในระดับภายในได้แก่
การใช้โครงสร้างแฟ้มข้อมูลใหม่ หรือโครงสร้างการจัดเก็บใหม่ , ใช้หน่วยเก็บข้อมูลแบบอื่น, การแก้ไขดัชนีหรืออัลกอริธึมแบบแฮช ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะไม่กระทบต่อระดับแนวคิดและระดับภายนอก
รูปที่ 2.3
แสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระของข้อมูลแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นในสถาปัตยกรรมทั้ง3 ระดับ
แบบจำลองข้อมูล(Data Models)
แบบจำลองข้อมูล(Data Model) หมายถึง แบบจำลองที่ใช้อธิบายและจัดการข้อมูล , ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและข้อบังคับของข้อมูลในระบบแบบจำลองจะแสดงวัตถุและเหตุการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างกัน แบบจำลองข้อมูลจะแสดงโครงสร้างของตัวเอง โดยมีหลักการพื้นฐานและสัญลักษณ์ที่ให้ผู้ออกแบบฐานข้อมูลและผู้ใช้สามารถสื่อสารแนวคิดในการออกแบบได้ตรงกันในบทนี้จะแบ่งแบบจำลองข้อมูลออเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ แบบจำลองเชิงวัตถุ(object-based) , แบบจำลองเชิงรายการ(record-based) และแบบจำลองทางกายภาพ(Physical) โดย 2ประเภทแรกใช้อธิบายข้อมูลในระดับแนวคิดและระดับภายนอก ส่วนประเภทที่ 3ใช้อธิบายข้อมูลในระดับภายใน
แบบจำลองข้อมูลเชิงวัตถุ(Object-BasedData Models)
แบบจำลองข้อมูลเชิงวัตถุใช้หลักการเกี่ยวกับเอนติตี้ , แอททริบิวท์ และความสัมพันธ์ โดย เอนติตี้(Entity) หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกัน(เช่น คน , สถานที่ , สิ่งของ , เหตุการณ์ เป็นต้น)ที่ปรากฏขึ้นในฐานข้อมูล แอททริบิวท์(Attribute) เป็นคุณสมบัติที่อธิบายลักษณะของเอนติตี้ และความสัมพันธ์(Relationship) เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเอนติตี้ แบบจำลองฐานข้อมูลเชิงวัตถุประกอบด้วยแบบจำลองต่างๆ ดังนี้
Entity-Relationship
Semantic
Functional
Object-Oriented
แบบจำลอง Entity-Relationship
เป็นแบบจำลองที่รวมเอาเทคนิคในการออกแบบฐานข้อมูลที่นิยมใช้(จะกล่าวอย่างละเอียดในบทต่อไป) ส่วนแบบจำลอง Object-Oriented
นั้นนอกจากจะนิยามเอนติตี้และแอททริบิวท์แล้วยังมีการนิยามสถานะ(state)และ พฤติกรรม(Behavior)ของวัตถุซึ่งวัตถุจะมีการซ่อนสถานะและพฤติกรรมไว้
แบบจำลองเชิงรายการ(Record-BasedData Models)
ในแบบจำลองเชิงเรคคอร์ดนั้นฐานข้อมูลจะประกอบด้วย รายการข้อมูลที่กำหนดรูปแบบคงที่ไว้ที่แตกต่างกันแต่ละแบบ โดยแต่ละแบบของรายการข้อมูลจะกำหนดจำนวนฟิลด์ไว้คงที่และกำหนดขนาดข้อมูลของฟิลด์ไว้ด้วย แบบจำลองเชิงรายการประกอบด้วย แบบจำลองข้อมูลเชิงสัพันธ์(Relational DataModel) ,
แบบจำลองข้อมูลแบบเครือข่าย(Network Data Model)
แบบจำลองแบบลำดับชั้น(HierarchicalData Model)
คิดค้นโดยบริษัท North AmericaRockwell ซึ่งเป็นบริษัทที่มีส่วนร่วมในโครงการสำรวจดวงจันทร์ด้วยยานอวกาศApollo ซึ่งมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมหาศาล โดยข้อมูลที่เก็บในคอมพิวเตอร์มีการจัดการข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล ซึ่งทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูลเป็นจำนวนมากเมื่อบริษัท North America
Rockwell เริ่มต้นพัฒนาระบบฐานข้อมูลของตัวเองขึ้นมาก็พบว่าข้อมูลในเทปแม่เหล็กที่ได้เคยเก็บบันทึกมา
ประมาณร้อยละ60 ของข้อมูลมีความซ้ำซ้อนกัน จากปัญหาดังกล่าวบริษัท North America Rockwell จึงได้พัฒนาวิธีอื่นๆ เพื่อจัดการให้การจัดเก็บข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยหลักการของฐานข้อมูล ที่มีชื่อว่า GUAM(Generalized Update Access Method) ซึ่งมีหลักการที่ว่านำข้อมูลส่วนเล็กในแต่ละส่วนมากจัดรวมกันเป็น componentจนเป็น component ขนาดใหญ่ และเป็นcomponentที่ใหญ่ที่สุดในกลางยุค 60บริษัท IBM ได้ร่วมมือกับบริษัท North AmericaRockwell ขยายความสามารถของ
GUAMให้มาแทนที่การเก็บข้อมูลด้วยเทปด้วยสื่อที่จัดเก็บข้อมูลที่ทันสมัยมากขึ้นจากผลการร่วมมือกันระหว่างRockwell-IBMเป็นผลให้กลายเป็นที่รู้จักในนามInformationmanagementsystem(IMS) ทำให้ IMS กลายเป็นผู้นำในระบบฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นของโลกในปี 70 และ ต้นปี 80
การออกแบบแฟ้มข้อมูลและฐานข้อมูล (Designing Databases)
3. การออกแบบฐานข้อมูล (database design)
เครื่องมือสำหรับออกแบบฐานข้อมูล คือ อีอาร์ดี (entity relationships diagram-ERD) เป็นแบบจำลอง
ข้อมูล (data model) ซึ่งเป็นแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี และแอททริบิวท์ และต้องนำมาทำนอร์มัลไลเซชันปรับปรุงให้เป็นบรรทัดฐานเพื่อความถูกต้องของข้อมูล เมื่อมีการปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
3.1 แบบจำลองข้อมูลอีอาร์ดี (Entity-Relationship Diagram -ERD)
ระบบฐานข้อมูลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันคือ ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (relational database) และฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (object- oriented database) และแบบผสมของฐานข้อมูลเชิงวัตถุสัมพันธ์(hybrid object-relational DBMS) การออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ จะเกี่ยวข้องกับเอนทิตี (entity) แอททริบิวท์ (attribute) และความสัมพันธ์ของ เอนทิตี (entity relationships) ตัวแบบจำลองข้อมูล (data model) ที่ใช้ คือ อีอาร์ดี การออกแบบฐานข้อมูล โดยอีอาร์ดีจะแสดงแบบจำลองข้อมูลซึ่งแสดงให้เห็นในระดับแนวคิด (conceptual design) คือเอนทิตีและแอททริบิวท์ และข้อมูลเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดยในขั้นวิเคราะห์ยังไม่ได้คำนึงถึงความซ้ำซ้อนของข้อมูล
3.2 การทำข้อมูลให้เป็นบรรทัดฐาน (normalization)
ข้อมูลที่ได้จากตัวแบบจำลองข้อมูลอีอาร์ดี จะนำมากำหนดเป็นตารางความสัมพันธ์ (relational table) หรือเรียกว่า รีเลชัน หลักการบรรทัดฐานหรือการนอร์มัลไลเซชัน คือขจัดความสัมพันธ์ซ้ำซ้อนของข้อมูลจากแบบกลุ่มให้อยู่ในแบบเดี่ยวให้มากที่สุด
ระบบโครงสร้างข้อมูลพิจารณาได้ ดังนี้ คือ ตารางหรือเอนทิตี เป็นหน่วยที่ใช้จัดเก็บชุดข้อมูลในระบบ อาจมีได้หลายตารางหรือขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของรายการข้อมูลที่ประกอบขึ้นเป็นระเบียนข้อมูล (เร็คคอร์ด) และตารางความสัมพันธ์ระหว่างตารางซึ่งเรียกว่ารีเลชัน (relation)
แอทริบิวท์หรือรายการข้อมูลที่อยู่ในรีเลชันอาจมีลักษณะเหมือนกันหรือซ้ำกัน ซึ่งจะต้องแก้ไขโดยการสร้างรีเลชันใหม่ เช่น นักศึกษา 1 คน สามารถเรียนได้หลายวิชา
การสร้างคีย์ (key) เพื่อระบุความสัมพันธ์ของรีเลชัน มีหลักดังนี้
– คีย์หลัก (primary key / unique key) เป็นแอทริบิวท์ของระเบียนข้อมูลที่มีลักษณะข้อมูลที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวที่ใช้สำหรับอ้างอิง เช่น รหัสนักศึกษา จะมีค่าเฉพาะตัวค่าเดียวเพื่อใช้อ้างอิงว่าเป็นระบียนของนักศึกษาคนไหน
– คีย์นอก (foreign key) เป็นแอทริบิวท์ที่กำหนดความสัมพันธ์กับรีเลชันอื่นและจะกลายเป็นคีย์หลักของรีเลชันนั้น เช่น รหัสวิชาเป็นคีย์นอกใช้ระบุความสัมพันธ์กับรีเลชันที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวิชาที่เปิดสอนได้
– คีย์อื่น ๆ เช่น คีย์รอง (secondary key) เป็นแอทริบิวท์ที่ช่วยให้การเรียกใช้ข้อมูลเป็นไปได้สะดวกรวดเร็วและชัดเจน เช่น กำหนดชื่อนักศึกษาเป็นคีย์รองในการเรียกใช้ข้อมูล
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ผู้จัดทำ
นาย พีรดลย์ รูปทอง ชั้นม.5/3 เลขที่ 10
นางสาวอริษา ทองศรี ม.5/3 เลขที่25
นางสาวจิณณพัต โอภากุลวงษ์ ม.5/3 เลขที่27
นางสาวชรินรัตน์ แสงสุรีย์ฉาย ม.5/3 เลขที่28
นางสาวสุทธิบุตร บุญมาคาร ม.5/3 เลขที่29
นางสาวมรรษวันฏ์ จงเจริญ ม.5/3 เลขที่31 อ่านเพิ่มเติม →