“หนังสือสัญญาเซอยอนโบวริง” เป็นสนธิสัญญาทางการค้าระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักร โดยเซอร์จอห์น เบาว์ริง ราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย เข้ามาทำสนธิสัญญา และได้ลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง (Bowring Treaty) ซึ่งบนปกสมุดไทยใช้ชื่อว่า “หนังสือสัญญาเซอยอนโบวริง” เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2398
สยามเปลี่ยนไปอย่างไร เมื่อระเบียบใหม่เข้ามา ?
สนธิสัญญาเบาว์ริงลงนามในสมัยรัชกาลที่ 4 ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสยามและอังกฤษ เดิมถูกกำหนดไว้โดยสนธิสัญญา เบอร์นี ในปี 2369 และซึ่งเบาว์ริงใช้สนธิสัญญานี้เป็นจุดเริ่มต้นเจรจา
สนธิสัญญาเบาว์ริงเปลี่ยนกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ โดยถือเป็นการสิ้นสุดของการผูกขาดการค้าต่างประเทศโดยพระคลังสินค้าของกษัตริย์และเจ้านายสยาม ฯลฯ ทำให้เกิดการค้าเสรี แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษารูปแบบบางประการของการให้สัมปทานหรือการผูกขาด ของเจ้าภาษีอากรแบบเดิมอยู่ (ฝิ่นและบ่อนเบี้ยการพนัน) นอกจากนี้ สนธิสัญญายังอนุญาตให้ชาวอังกฤษสามารถถือครองที่ดินในสยาม ทั้งให้สหราชอาณาจักรจัดตั้งกงสุลอังกฤษในกรุงเทพฯ ด้วย
สิทธิสภาพนอกอาณาเขตคืออะไร ?
สนธิสัญญาเบาว์ริงมีผลทำให้สยามเสียอำนาจอธิปไตยทางการศาล มีการรับประกันสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้พลเมือง เป็นสิทธิทางกฎหมายของประเทศนั้น ๆ ที่สามารถใช้กฎหมายของประเทศตัวเอง ในดินแดนประเทศอื่นได้ กล่าวคือสยามยินยอมให้ชาวต่างชาติ และคนในบังคับของชาวต่างชาตินั้นไม่ต้องขึ้นศาลไทย แต่ขึ้นศาลกงสุลแทน ซึ่งต่อมาไทยได้ใช้สนธิสัญญาเบาว์ริงเป็นแม่แบบของสนธิสัญญากับประเทศชาติตะวันตกอื่น ๆ ด้วย เช่น ฝรั่งเศส สหรัฐฯ เดนมาร์ก รวมถึงประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
ผลของสนธิสัญญาทำให้คนจีนที่เข้ามาค้าขายในไทย ขอเข้าเป็นคนในบังคับชาติตะวันตก เพื่อต้องการได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ทำให้คนไทยเกิดข้อเสียเปรียบอย่างยิ่ง นำมาสู่การพยายามเจรจาเพื่อขอยกเลิกสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งบางประเทศได้คืนเอกราชทางการศาลใหไทย บางประเทศต่อรองว่าไทย ต้องประกาศใช้ประมวลกฎหมายครบถ้วนแล้วเป็นเวลา 5 ปี จึงจะยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตอย่างเด็ดขาดให้
สู่หนทางพัฒนากฎหมายไทย
หลังสนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลที่ 4 สยามในเวลานั้นก็เร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายให้เป็นสากล หวังการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลของไทยให้เจริญทัดเทียมอารยประเทศ โดยมีสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง ก็เพื่อนำไปสู่การยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ทวงคืนอธิปไตยทางการศาล โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะกรรมการชำระกฎหมายขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2440 เพื่อปรับปรุงประมวลกฎหมายของไทย
ในปี พ.ศ. 2477 ไทยได้จัดทำประมวลกฎหมายสำเร็จ และประกาศใช้อย่างสมบูรณ์ในปี 2478 นับต่อไปอีก 5 ปี คือราวปี 2480 รัฐบาลไทยได้เจรจาขอความร่วมมือในการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ทำให้ไทยได้รับเอกราชทางการศาลกลับคืนมา นับรวมอายุของสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่มีอิทธิพลต่อไทยนับเป็นเวลากว่า 80 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2398 - 2480
Sources : www.m-culture.go.th, pridi.or.th, วารสารนิติสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ปีที่ 4 ฉบับที่ 1/2549: ความตกลง FTA กับความชอบด้วยกฎหมาย
เรียบเรียง : อ.อโณทัย
สนธิสัญญาเบาว์ริง
หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยามเป็นสนธิสัญญา
ที่ทางโลกตะวันตกบีบคั้นทางสยามมาตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ตอนที่อังกฤษเข้า
ยึดพม่าและต่อมาจนถึงตอนต้นของรัชกาลที่ 4เป็นสนธิสัญญาที่ราชอาณาจักรสยาม
ทำกับสหราชอาณาจักร ลงนามเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2398
โดย เซอร์ จอห์น เบาว์ริง ราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
วิกตอเรียเข้ามาทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งมีสาระสำคัญในการเปิดการค้าเสรีกับต่าง
ประเทศในสยามมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศโดยเป็นทางสยาม
ที่เสียเปรียบต่ออังกฤษเป็นอย่างมาก และเสียเปรียบกว่าชาติอื่นๆในเอเชียด้วยกัน
อีกด้วยในเรื่องการเก็บภาษีจากการค้าขายกับสำเภาตะวันตก ด้วยสนธีสัญญานี้เป็น
การเปิดเสรีในการค้าขายกับชาวต่างชาติเพราะก่อนหน้านี้การค้าขายกับชาติตะวันตก
นั้นเราได้เก็บภาษีจากการค้าขายได้เป็นอย่างมากแต่เมื่อมีการบีบบังคับให้เซ็นสนธิ-
สัญญาเบาว์ริงฉบับนี้ทำให้ทางสยามเสียเปรียบด้านการค้าและสิทธิสภาพของคนใน
ปกครองของอังกฤษที่ไม่ต้องถูกดำเนินคดีโดยศาลไทยและการตั้งกงสุลอังกฤษใน
กรุงเทพรวมถึงคนอังกฤษมีสิทครอบครองที่ดินในสยามได้หากแต่ถ้าสยามไม่ยอม
ตกลงตามนี้ทางอังกฤษก็เตรียมจะเอาเรือปืนเข้ามาบุกขยี้สยามเป็นแน่แท้อย่างที่เกิด
ในพม่า สยามเห็นว่าไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมอ่อนผ่อนตามไป เราถูกบังคับทางอ้อม
จึงจำยอมต้องทำ
สาระสำคัญของสัญญา (เอาแบบไม่ยิดยาวเข้าประเด็นนะครับ)
1.คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ ณ กรุงเทพฯหรือในสยามจะอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของ
กงสุลอังกฤษโดยทางสยามจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวทำได้เพียงช่วยเหลือจับกุมให้อังกฤษ
นับเป็นครั้งแรกที่สยามมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ประชากรต่างด้าว
2.คนในบังคับอังกฤษได้รับสิทธิในการค้าขายอย่างเสรีในเมืองท่าทุกแห่งของสยาม
และสามารถพำนักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นการถาวรได้ โดยสยามไม่ห้ามปราม
และสามารถจ้างลูกจ้างมาช่วนสร้างบ้านเรือนได้โดยไทยไม่ห้ามปราม คนในบังคับ
อังกฤษสามารถซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณดังกล่าวได้ (อาณาเขตสี่ไมล์
สองร้อยเส้นไม่เกินกำลังเรือแจวเดินทางในยี่สิบสี่ชั่วโมงจากกำแพงพระนคร) คนใน
บังคับอังกฤษยังได้รับอนุญาตให้เดินทางได้อย่างเสรีในสยามโดยมีหนังสือที่ได้รับการ
รับรองจากกงสุล
3.ยกเลิกค่าธรรมเนียมปากเรือและกำหนดอัตราภาษีขาเข้าและขาออกชัดเจน
- อัตราภาษีขาเข้าของสินค้าทุกชนิดกำหนดไว้ที่ร้อยละ 3 ยกเว้นฝิ่นที่ไม่ต้องเสียภาษี
แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษี ส่วนเงินทองและข้าวของเครื่องใช้ของพ่อค้าไม่ต้องเสียภาษี
เช่นกัน
- สินค้าส่งออกให้มีการเก็บภาษีชั้นเดียว โดยเลือกว่าจะเก็บภาษีชั้นใน (จังกอบ
ภาษีป่า ภาษีปากเรือ) หรือภาษีส่งออก
4.พ่อค้าอังกฤษได้รับอนุญาตให้ซื้อขายโดยตรงได้กับเอกชนสยามโดยไม่มีผู้ใด
ผู้หนึ่งขัดขวางหรือเบียดเบียน
5.รัฐบาลสยามสงวนสิทธิ์ในการห้ามส่งออกข้าว เกลือและปลา เมื่อสินค้าดังกล่าวมีที
ท่าว่าจะขาดแคลนในประเทศ
6.คนในบังคับของอังกฤษจะมาค้าขายตามหัวเมืองชายฝั่งทะเลของสยามได้แต่จะต้อง
อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯแลจังหวัดที่ระบุไว้ในสัญญา
7.ถ้าฝ่ายไทยยอมให้สิ่งใด ๆ แก่ชาติอื่น ๆ นอกจากหนังสือสัญญานี้ ก็จะต้องยอมให้
อังกฤษแลคนในบังคับอังกฤษเหมือนกัน
ไทยเสียบเปรียบอย่างไร
1.ไทยหรือสยามในขณะนั้นไม่สามารถดำเนินคดีแก่คนในบังคับของอังกฤษได้โดย
ตรงต้องส่งไปให้อังกฤษพิจารณาเองไทยไม่มีสิทธิในการตัดสินคดีความเลย ไทยจึง
ต้องประสบปัญหายุ่งยากที่ไม่สามารถจะตัดสิน กรณีพิพาทระหว่าง คนไทยกับคนต่าง
ชาติโดยใช้กฎหมายไทยได้
2.รายได้ของไทยลดลงเนื่องจากากรเก็บภาษีได้น้อยลงเพราะโดนบีบให้ทำการค้า
เสรีกับอังกฤษ
3. อังกฤษสามารถนำฝิ่นเข้ามาขายในเมืองไทยได้
4.เป็นการริดรอนอำนาจของสยามในดินแดนหัวเมืองมลายูที่อังกฤษใช้เป็นแหล่ง
การค้าและการเดินเรือ (จนในที่สุดก็ต้องยกให้อังกฤษแทบทั้งหมด)
5.ควบคุมคนในบังคับในอังกฤษไม่ได้มีผลต่อการจัดการระเบียบต่างๆซึ่งทำได้ลำบาก
คนในบังคับอังกฤษที่ไปจดทะเบียนขึ้นกับอังกฤษใช้ข้อนี้ เมินเฉยต่อกฎหมายสยาม
รวมถึงเอาเปรียบคนในบังคับของสยาม
6.ตามสนธิสัญญาเบาว์ริง ไทยได้รับเงื่อนไขให้เก็บภาษีขาเข้าได้เพียงร้อยละ 3
เท่านั้นเดิมก่อนหน้าสนธิสัญญาเบาว์ริง ไทยเคยเก็บภาษีขาเข้าจากพ่อค้าฝรั่งถึง
ร้อยละ 8
7.ลูกค้าอยู่ในบังคับอังกฤษจะบันทุกเอาฝิ่นเข้ามา ณ กรุงเทพฯ ไม่ต้องเสียภาษี
แต่ต้องขายฝิ่นให้แก่เจ้าภาษี ถ้าเจ้าภาษีไม่ซื้อฝิ่นไว้ ให้บันทุกกลับออกไปไม่ต้อง
เสียอะไร (แหม่ๆๆๆๆ)ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
การยกเลิกสัญญา
เนื่องจากการที่สนธิสัญญาฉบับนี้ทางสยามเสียเปรียบจึงได้มีความพยายามเจรจาเพื่อ
ยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของคนในบังคับอังกฤษโดยเอ็ดเวิร์ด เอช. สโตรเบล
ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินชาวอเมริกัน เสนอให้สยามแลกหัวเมืองมลายูที่ซักวันนึงอาจจะ
ต้องเสียไปให้แก่อังกฤษไปโดยฟรีๆและการขอกู้เงิน 4 - 5 ล้านปอนด์ ในอัตราดอกเบี้ย
ต่ำเพื่อนำไปสร้างทางรถไฟสายใต้ โดยมีการลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 10
มีนาคม พ.ศ. 2451 โดยรัฐบาลสยามยอมยกหัวเมืองมลายู -ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู
และปะลิส ตลอดจนเกาะ ใกล้เคียงให้แก่อังกฤษ เป็นการแก้ปัญหาหัวเมืองมลายูที่ห่าง
ไกลและชอบมีปัญหาในการจัดการระเบียบบ้านเมือง รวมถึงอังกฤษเองก็ฮึ่มๆเมืองแถว
นั้นอยู่เป็นระยะอาจจะต้องเสียไปซักวันสู้เสนอแลกเปลี่ยนเพื่อยกเลิกสัญญาและเอา
ปัจจัยด้านอื่นมาสร้างประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองจะดีกว่า