เกร็ดประวัติวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
ชั้นและตำบลที่ตั้งวัด
วัดอรุณราชวรารามเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และฟากตะวันออกของถนนอรุณอมรินทร์ ระหว่างคลองนครบาลหรือคลองวัดแจ้งกับพระราชวังเดิม ตำบลวัดอรุร อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เป้นวัดโบราณสร้างมาแต่ครั้งสมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” ภายหลังเปลี่ยนเป็นวัดมะกอกนอก แล้วเปลี่ยนเป็น วัดแจ้ง วัดอรุรราชธาราม และวัดอรุณราชวราราม โดยลำดับ ปัจจุบันเรียกชื่อว่า “วัดอรุณราชวราราม”
ชื่อวัด
มูลเหตุที่เรียกชื่อวัดนี้แต่เดิมว่า “วัดมะกอก” นั้น ตามทางสันนาฐานเข้าใจว่าคงจะเรียกคล้อยตามตำบลที่ตั้งวัด ซึ่งสมัยนั้นมีชื่อว่า “บางมะกอก” (เมื่อนำมาเรียกรวมกับคำว่า “วัด” ในตอนแรกๆคงเรียกว่า “วัดบางมะกอก” ภายหลังเสียงหดลงคงเรียกสั้นๆว่า “วัดมะกอก” ) ตามคติเรียกชื่อวัดของไทยสมัยโบราณ เพราะชื่อวัดที่แท้จริงมักจะไม่มี จึงเรียกชื่อวัดตามชื่อตำบลที่ตั้ง เช่น วัดบางลำพู วัดปากน้ำ เป็นต้น ต่อมาเมื่อได้สร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกันนี้ แต่อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกชื่อวัดที่ตั้งใหม่ว่า “วัดมะกอกใน” แล้วเลยเรียกวัดมะกอกเดิมซึ่งอยู่ตอนปากคลองมะกอกใหญ่ว่า “วัดมะกอกนอก” เพื่อให้ทราบว่า เป้นคนละวัด
ส่วนที่เปลี่ยนเป้นเรียกว่า “วัดแจ้ง” นั้น เล่ากันเป้นทำนองว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยา สำเร็จเรียบร้อย ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว มีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรี จึงเสด็จกรีฑาพลล่องลงมาทางชลมารค พอถึงหน้าวัดนี้ ก็ได้อรุณหรือรุ่งแจ้งพอดี ทรงพระราชดำริเห็นเป็นอุดมมหามงคลฤกษ์ จึงโปรดให้เทียบเรือพระที่นั่งที่ท่าน้ำ เสด็จขึ้นไปทรงสักการบูชาพระมหาธาตุ ขณะนั้นสูงประมาณ ๘ วา ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหน้าวัด แล้วเลยเสด็จประทับแรมที่ศาลาการเปรียญใกล้ร่มโพธิ์ ต่อมาได้โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดแล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดแจ้ง” เพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์
ชื่อ “วัดแจ้ง” นี้มีเรื่องสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทูลสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ไว้ว่า “หม่อมฉันเคยเห็นแผนที่เมืองธนบุรีที่ฝรั่งเศสทำเมื่อรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ ในแผนที่นั้นมีแต่วัดเลียบ กับวัดแจ้ง แต่วัดโพธิ์หามีไม่ ตรงที่วัดพระเชตุพนเวลานั้นยังเป็นชานป้อมใหญ่ ซึ่งอยู่ราวโรงเรียนราชินี เพราะฉะนั้นวัดโพธิ์เป้นวัดสร้างเมื่อล่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ มาแล้ว
คลิ๊กเพื่อเที่ยวชมความสวยงามของวัดอรุณราชวรารามแบบเสมือนจริงทั้งพระอาราม
จากหลักฐานนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่า วัดแจ้งนั้นมีมาก่อนที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะทรงย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรีตามเรื่องที่ได้กล่าวมาแล้ว และชาวฝรั่งเศสผู้ทำแผนที่เมืองธนบุรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น ก็คือ เรือเอก เดอ ฟอร์บัง (Claude de Forbin) กับนายช่าง เดอ ลามาร์ (de Lamare) ซึ่งต่อมาเดอ ฟอร์บังนั้น ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ‘ออกพระศักดิสงคราม’ มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับป้อมและเป็นเจ้าเมืองที่บางกอกด้วย อันเป็นบำเหน็จความชอบสำคัญ เพราะว่ายศบรรดาศักดิ์นี้ก็เทียบเท่ากันกับชั้นจอมพลของประเทศฝรั่งเศส ราชทินนามนี้แปลว่า ‘เทพเจ้าซึ่งมีแสงสว่างและชำนาญในการสงคราม’
เรือเอก เดอ ฟอร์บัง (Claude de Forbin) และนายช่าง เดอ ลามาร์ (de Lamare) นั้น ได้เดินทางเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยา เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๒๒๘ พร้อมกับคณะราชทูตและคณะบุคคลอีกหลายท่าน เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ เป็นราชทูตและผู้บัญชาการกระบวนเรือรบหลวง ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ กษัตริย์กรุงฝรั่งเศส ทรงแต่งตั้งมาเจริญทางพระราชไมตรีกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
การปฏิสังขรณ์วัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้ทรงกระทำมาตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร และยังประทับอยู่ที่พระราชวังเดิม(๓) นั้น ได้สำเร็จลงในต้นปีมะโรง พ.ศ.๒๓๖๓ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีการฉลองแล้วพระราชทานชื่อใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม”(๔)
ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมอีก แล้วทรงเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดอรุณราชวราราม” ดังที่เรียกในปัจจุบันนี้
เขตวัดและที่ธรณีสงฆ์
เขตวัด เฉพาะตอนที่เป็นพุทธาวาสและสังฆาวาส มีดังนี้
- ทิศเหนือจดกำแพงวัดด้านเหนือ หลังโรงเรียนประถมทวีธาภิเศก
- ทิศใต้จดกำแพงพระราชวังเดิม
- ทิศตะวันออกจดฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และ
- ทิศตะวันตกมีกำแพงวัดติดถนนอรุณอมรินทร์
เป็นเนื้อที่ ๒๗ ไร่ ๒ งาน ๖๓ วา
ที่ธรณีสงฆ์ ซึ่งทางวัดให้เอกชนเช่า มีอยู่ทางด้านเหนือตอนที่ติดกับกำแพงวัดหลังโรงเรียนประถมทวีธาภิเศก ริมคลองนครบาลหรือคลองวัดแจ้ง เป้นเนื้อที่ประมาณ ๓ งาน ๗๗ วาเศษ กับที่ทางด้านตะวันตกของถนนอรุณอมรินทร์ออกไปมีเนื้อที่ ๓๓ ไร่ ๒ งาน ๒๕ วา
ผู้สร้างและปฏิสังขรณ์วัด
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ไม่พบหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างวัดในสมัยโบราณ ตามหลักฐานเท่าที่ปรากฏมีเพียงว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีมาก่อนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๑๙๙ – ๒๒๓๑) เพราะมีแผนที่ซึ่งชาวฝรั่งเศสทำขึ้นไว้เป็นหลักฐานดังกล่าวมา ในวัดนี้เอง ยังมีพระอุโบสถและพระวิหารของเก่าอยู่ ณ บริเวณหน้าพระปรางค์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยา(๑)
สมัยกรุงธนบุรี
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้ย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามา ณ กรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.๒๓๑๑ โดยทรงพระราชดำริว่ากรุงศรีอยุธยา “เป็นเมืองใหญ่กว้าง ทั้งพระราชวังก็มีปราสาทสูงใหญ่ถึง ๕ องค์ และวัดวาอารามก็ล้วนแต่ใหญ่โต เมื่อบ้านเมืองถูกพม่าข้าศึกและพวกทุจริต เอาไฟจุดเผาเป็นอันตราย
(๑) ดู – สาส์นสมเด็จ ภาค ๑ องค์การค้าของคุรุสภา พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ หน้า ๔๒
และมูลเหตุที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงตั้งสถานที่ที่เรียกว่า “พระราชวังเดิม” เป็นพระราชวังขึ้นนั้น ก็คงจะเป็นเพราะสถานที่ตรงนี้เป็นตัวเมืองธนบุรีอยู่แล้ว ความจริง ตัวเมืองธนบุรีเดิมทีเดียวนั้น อยู่ตรงปากคลองบางหลวง ซึ่งเป็นทางแยกไปปากน้ำท่าจีน ตรงวัดคูหาสวรรค์ หรือที่เรียกว่า วัดศาลาสี่หน้า(๒) แต่ครั้นคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยาที่สมเด็จพระเจ้าไชยราชาธิราช (พ.ศ.๒๐๕๗ – ๒๐๗๐) โปรดให้ขุดตั้งแต่ปากคลองบางกอกน้อยเดี๋ยวนี้ มาถึงปากคลองบางกอกใหญ่หรือคลองบางหลวง
น้ำในคลองลัดกัดตลิ่งพังกว้างออกไปทุกที จนกลายเป็นแม่น้ำ (ตอนหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านหน้าวัดระฆังโฆสิตาราม พระบรมมหาราชวังและวัดอรุณราชวราราม) จึงได้ย้ายตัวเมืองมาอยู่ตรงที่ซึ่งเป็นพระราชวังเดิมปัจจุบันนี้
(๑) ดู – ตำนานกรุงเก่า ของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓ หน้า ๑๔-๑๕
(๒) ดู – เรื่องภูมิศาสตร์สยาม ของกรมตำรา กระทรวงศึกษาธิการ พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ หน้า ๘๖
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงสร้างพระราชวังใหม่นั้น ได้ทรงเอากำแพงป้อมวิชัยประสิทธิ์ข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งตัวพระราชวัง แล้วโปรด “ให้ขยายเขตกั้นเป็นพระราชวังถึงคลองนครบาล (คลองวัดแจ้ง) เพราะฉะนั้น วัดแจ้งจึงตกเข้ามาอยู่กลางพระราชวัง เป็นการยกเว้นเลิกไม่ให้พระสงฆ์อยู่อาศัย เขตพระราชวังตะวันตกจดวัดโมลีโลกย์ ซึ่งเป็นตลาดท้ายสนม เรียกว่า วัดท้ายตลาด ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ระยะ ๑๕ ปีนั้น ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ และพระวิหารเดิมของวัดแจ้ง ให้บริบูรณ์ดีขึ้นตามที่จะทำได้” (๑)
การที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงสร้างพระราชวังและขยายเขตพระราชฐานจนถึงกับเอาวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวังนั้น คงจะทรงถือแบบอย่างพระราชวังในกรุงศรีอยุธยา ที่มีวัดพระศรีสรรเพชญ์อยู่ในพระราชวัง การปฏิสังขรณ์วัดเท่าที่ปรากฏตามหลักฐานในพระราชพงศาวดาร ก็คือ ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระวิหารของเก่าที่อยู่หน้าพระปรางค์ กับโปรดให้สร้างกำแพงพระราชวังโอบล้อมวัดดังกล่าว และในระยะต่อมาก็คงจะได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุอื่น ๆ อีก เพื่อให้สมกับที่เป็นวัดภายในพระราชวัง แต่ไม่ปรากฏรายการว่าได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์หรือก่อสร้างสิ่งใดขึ้นบ้าง
พระแก้วมรกต
ในปีกุน เอกศก จุลศักราช ๑๑๔๑ (พ.ศ.๒๓๒๒) สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ตีได้เมืองเวียงจันทน์ แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ ๒ องค์ คือ พระแก้วมรกตกับพระบางลงมาด้วย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุน-อินทรพิทักษ์ ขึ้นไปรับล่วงหน้าในวันพฤหัสบดี เดือน ๓ แรม ๔ ค่ำ เวลา ๑๑ ทุ่ม ครั้นถึงวันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๒ ค่ำ เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปรับ ณ พระตำหนักบางธรณี เวลาบ่าย ๓ โมง โปรดให้แห่ลงมา ณ กรุงธนบุรี มีมหรสพสมโภชมาในขบวนเรือตลอดระยะทาง เมื่อถึงวัดแจ้งได้โปรดให้อัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นที่สะพานป้อมต้นโพธิ์ ปากคลองนครบาลหรือคลองวัดแจ้ง ซึ่งอยู่เยื้องกับหน้าพระอุโบสถปัจจุบัน (ขณะนั้นยังไม่ได้สร้าง) แล้วพักไว้ ณ โรงชั่วคราว โปรดให้มีมหรสพสมโภชโดยสังเขป จากนั้นโปรดให้ปี่พาทย์ไทย ปี่พาทย์รามัญ และมโหรีไทย แขก ฝรั่ง จีน ญวน เขมร ผลัดเปลี่ยนกันสมโภชต่อไปเป็นเวลาอีก ๒ เดือน ๑๒ วัน
คลิ๊กเพื่อเที่ยวชมความสวยงามของวัดอรุณราชวรารามแบบเสมือนจริงทั้งพระอาราม
ครั้นถึงวันวิสาขปุรณมี เพ็ญกลางเดือน ๖ ปีชวด โทศก จุลศักราช ๑๑๔๒ (พ.ศ.๒๓๒๓) โปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางขึ้นประดิษฐานไว้ในมณฑป ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถเก่าและพระวิหารเก่าหน้าพระปรางค์ อยู่ในระยะกึ่งกลางพอดี มีการสมโภชใหญ่ ๗ คืน ๗ วัน (๑)
(๑) ดู- จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี และพระราชวิจารณ์ฯ สำนักพิมพ์ศรีปัญญา พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๒ หน้า ๑๐๘-๑๑๑
เรื่องเกี่ยวกับสถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระบาง หรืออย่างที่ในพระราชพงศาวดารเรียกว่า “โรงพระแก้ว” นั้น มีหลักฐานไม่สู้จะตรงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือ โรงพระแก้วที่สมโภชในวันวิสาขปุรณมีกับสถานที่ประดิษฐานครั้งสุดท้าย ก่อนจะอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ฝั่งกรุงเทพมหานคร จึงขอประมวลหลักฐานต่าง ๆ มาลงไว้ดังต่อไปนี้
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า “สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เมืองเวียงจันทน์แล้ว ก็เชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรองค์นี้ แลพระบางมาด้วย แล้วเลิกทัพกลับลงมาพระนครธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินใหญ่ในครั้งนั้น ก็ให้สร้างโรงพระแก้วที่หลังพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามในพระราชวัง เสร็จแล้วให้เชิญพระมหามณีรัตนปฏิมากรนี้ แลพระบางขึ้นประดิษฐานในโรง เสร็จแล้วให้มีการสมโภชต่าง ๆ” (๑)
ในประวัติวัดอรุณราชวราราม กล่าวไว้ว่า “พระมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกต ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทน์เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๒ และได้ประดิษฐานอยู่ตลอดรัชสมัยกรุงธนบุรี ที่ที่ประดิษฐานนั้น เป็นมณฑปตั้งอยู่ระหว่างโบสถ์และวิหารน้อย ด้านหลังในบริเวณพระปรางค์ บัดนี้ มณฑปนั้นไม่มีแล้ว” (๒)
(๑) ดู – ตำนานพระแก้วมรกต พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พิมพ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระธนรัตน-
พิมล (โต๊ะ สุขะวรรณ) พ.ศ.๒๔๙๗ หน้า ๑๐ – ๑๑
(๒) ดู – ที่ระลึกงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดอรุณราชวราราม พ.ศ. ๒๕๐๑ หน้า ๒๑
ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ตามหลักฐานทั้งสองนี้ ใกล้เคียงกันตรงที่ว่าอยู่หลังพระอุโบสถและพระวิหารเก่าในบริเวณพระปรางค์ ต่างกันแต่ที่หลักฐานของทางวัดเรียกที่ประดิษฐานว่า “มณฑป” และว่าอยู่กึ่งกลางระหว่างพระอุโบสถและพระวิหารเก่าด้านหลัง (ปัจจุบันปลูกต้นตะโก) ซึ่งทางวัดยังชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า ได้รับคำยืนยันจากพระเถระผู้สูงอายุรูปหนึ่ง คือท่านพระครูวิสุทธิสรภาณ (แผ้ว) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ว่าได้ขุดพบรากฐานมณฑปเมื่อเอาต้นตะโกมาปลูก
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงวินิจฉัยที่ประดิษฐานหรือโรงพระแก้วไว้ ตามลายพระหัตถ์หลายฉบับ ขอนำสาระสำคัญในลายพระหัตถ์ที่เกี่ยวกับโรงพระแก้วมาลงไว้ ดังต่อไปนี้
ลายพระหัตถ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๕๘ ทรงตั้งเป็นปัญหาขึ้นก่อนว่า
“เรื่องโรงพระแก้ว เป็นที่เข้าใจกันว่า คือ วิหารหลังข้างใต้ที่คู่เป็นโบสถ์เก่า มีเหตุที่เห็นสม ที่ข้างในบนฐานปูน มีรูปพระเจดีย์สร้างไว้ใหม่แทนพระแก้ว แต่มีเหตุที่สงสัยเหมือนกัน ด้วยโบสถ์แลวิหารของเก่านี้ ทั้งรูปร่างแลขนาดเท่ากัน พระปรางค์อยู่ข้างหลังก็ได้ศูนย์กลาง จดหมายเหตุกล่าวว่าพระปรางค์เดิมมีก่อนพระปรางค์ใหญ่นี้สวม แต่ข้อที่ทำให้ฉงนนักนั้น เหตุใดจึงเรียกว่าโรงพระแก้ว ไม่เรียกว่าวิหารพระแก้ว ข้อปัญหาที่จะทูลหารือนั้น คือวิหารนั้นเป็นโรงพระแก้วแน่แล้วหรือ หรือว่าโรงพระแก้วเป็นของปลูกชั่วคราวขึ้นในที่อื่น”
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้กราบทูลตอบโดยลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๕๘ ว่า
“ปัญหาข้อสอง ซึ่งว่าโรงพระแก้วนั้น คือวิหารเก่าวัดอรุณ ตามที่เข้าใจกันนั้นฤามิใช่ ในข้อนี้พิจารณาเห็นดังนี้
๑. วิหารเก่าวัดอรุณนั้น เป็นฝีมือที่ทำครั้งกรุงเก่าพร้อมกับโบสถ์เก่า ไม่ใช่ฝีมือทำในแผ่นดินพระเจ้าตาก
๒. ในพระราชพงศาวดาร หน้า ๖๓๕ มีว่า “ครั้นมาถึงตำบลบางธรณี จึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปโดยทางชลมารค พร้อมด้วยขบวนพยุหแห่ลงมาตราบเท่าถึงพระนคร แล้วให้ปลูกโรงรับเสด็จพระพุทธปฏิมากรพระแก้วพระบาง อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ โรงริมพระอุโบสถวัดแจ้ง ภายในพระราชวัง”
คำว่า “ปลูก” จำเป็นต้องเป็นโรงที่ทำขึ้นใหม่แลต้องเป็นไม้ พระวิหารเป็นของเก่าแลเป็นของก่อ จะเข้าในคำ “ปลูก” ไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าตำแหน่งปลูกซึ่งระบุไว้ในที่นี้ถูก โรงนั้นจะต้องอยู่ข้างซ้ายโบสถ์เก่า
๓. ในพระราชวิจารณ์ ตอนต้นจดหมายเหตุ หน้า ๑๒ ว่า “พยุหกระบวนเรือประทับท่าวัดแจ้ง เชิญพระแก้วขึ้นทรงพระยานุมาศ แห่มา ณ โรงพระแก้ว อยู่ที่ท้องสนาม” ทรงพระราชวิจารณ์ประกอบร่างหมายเก่า หน้า ๑๑๕ ว่า “พระแก้วมรกตมาขึ้นที่ตะพานป้อมต้นโพธิ์ ปากคลองนครบาล คงจะอยู่เยื้องเหนือหน้าพระอุโบสถเดี๋ยวนี้ สัสดีเกณฑ์ให้ตั้งราชวัตรฉัตรเบญจรงค์รายทางแลล้อมรอบโรงพระแก้ว ตั้งกระบวนแห่มีเครื่องสูง กลองชนะคู่แห่ ๔๐ แห่เข้าประตูรามสุนทรมาไว้ในโรง”
ข้อความในพระราชวิจารณ์เช่นนี้ ไม่ใช่แต่ส่องให้เห็นว่าไม่ใช่พระวิหารเก่า วัดแจ้งเท่านั้น ยังส่องให้เห็นไกลไปจากวัดแจ้งเสียอีกด้วย ถ้าจะเดาให้ใกล้ ที่ตั้งโรงพระแก้วเห็นจะปลูกที่สนามในวัง หลังวัดแจ้งอย่างสมโภชช้างขึ้นโรงใน ในพระบรมมหาราชวังเรานี้
๔. พระเจดีย์ในวิหารเก่าวัดอรุณนั้น เห็นเป็นพระเจดีย์เก่า ไม่ใช่ทำใหม่ เพราะสังเกตเห็นได้สองอย่าง คือเหนือบัลลังก์ขึ้นไป มีบัวที่เรียกว่าฝาละมี ซึ่งเดิมหมายเป็นใบฉัตรมีลูกมะหวดรับเหมือนพระเจดีย์ในกรุงเก่า เช่น วัดสบสวรรค์นั้นอย่างหนึ่ง ซึ่งผิดกับพระเจดีย์ชั้นหลัง เลิกบัวฝาละมีพ้นบัลลังก์ขึ้นไปก็ถึงบัวกลุ่มทีเดียว กับฐานชั้นสองชั้นสามไม่มีหน้ากระดานรองสิงห์อีกอย่างหนึ่ง นี่ก็เป็นแบบเก่าเหมือนกันพระเทพสุธี ว่าพระเจดีย์องค์นี้หล่อด้วยดีบุก ได้ยินว่าเดิมอยู่วัดราชคฤห์ ฤาวัดอะไรไม่แน่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ตรัสสั่งให้เชิญมาไว้ ดูทีก็จะสมจริง เพราะมีรูปจตุโลกบาลอยู่สี่ทิศ เป็นฝีมือในรัชกาลที่ ๔ เมื่อเช่นนั้น การที่วิหารนี้เคยว่างไม่มีอะไรตั้งอยู่คราวหนึ่งก็เป็นการแน่ ทำไมจึงว่าง เหตุนี้แลจูงให้ไปเข้าใจกันว่าตั้งพระแก้วในนั้น ฤาจะเป็นได้ดังนี้ คือสมโภชแล้วเชิญย้ายจากโรงมาไว้ในวิหาร
๕. แต่ในพระราชพงศาวดาร หน้า ๖๗๕ กล่าวว่า “ครั้นถึงวันจันทร์ เดือนสี่ ขึ้นสิบสี่ค่ำ ทรงพระกรุณาให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกต จากโรงในวังเก่าฟากตะวันตก ลงทรงเรือพระที่นั่งกิ่ง มีเรือแห่เป็นขบวน ข้ามฟากมาเข้าพระราชวัง อัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถในพระอารามใหม่”
คงใช้คำว่า “โรง” อยู่กระนั้นเอง ส่องให้เห็นว่า พระแก้วทรงอยู่ในโรงเดิม ไม่ได้ย้ายไปไหน โดยหลักฐานทั้งปวงนี้ พอลงสันนิษฐานได้ว่าวิหารเก่าไม่ใช่โรงพระแก้ว แลไม่ได้ไว้พระแก้ว เพราะไม่พบปรากฏในที่แห่งใดว่าได้ย้ายพระแก้วไปจากโรงเดิม แลก็ไม่น่าจะได้ย้ายจริงด้วย เพราะต่อแต่นั้นไป ก็ดูมีแต่เรื่องวุ่นวายไปด้วยอาการเสียพระสติแก่กล้า ไม่มีเวลาที่จะประกอบการอันเป็นสารประโยชน์ ถ้าหากว่าได้ย้ายแล้ว
ควรจะมีที่ไว้ให้ดีกว่าขอยืมเอาวิหารเก่า เพราะว่าพระแก้วมิใช่ของเลว อีกประการหนึ่งทำลายพระเก่าให้วิหารเอาที่ตั้งพระแก้ว กลัวจะไม่มีใครทำ ถ้ามีใครทำ ก็คงถูกติเตียนก้องมาจนถึงทุกวันนี้”
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแย้งมาโดยลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๔๕๘ ว่า
“อรรถาธิบายเรื่องวัดอรุณฯ ที่ประทานมา แจ่มแจ้งดีมาก ขอขอบพระเดชพระคุณที่ทรงพระอุสาหะถึงเสด็จข้ามไปทอดพระเนตร แลอุตส่าห์ทรงเรียงอธิบายประทาน
อยากจะขอทูลย้อนสัตย์สักหน่อย คือ ที่ทรงวินิจฉัยว่า โรงพระแก้วที่พระเจ้ากรุงธนบุรีสร้าง ว่ามิใช่พระวิหารเก่านั้น ตรงตามความคิดหม่อมฉัน เห็นว่าโรงพระแก้วเป็นของสร้างชั่วคราวสำหรับการสมโภชอย่างสมโภชช้างเผือกโรงนอก จึงเรียกว่าโรง
แลเหตุใดจึงสร้างสมโภชชั่วคราว ก็พอเข้าใจได้ เพราะโบสถ์และวิหารวัดแจ้งเล็ก ไม่เป็นที่เปิดเผยให้มหาชนไปมานมัสการได้สะดวก จึงปลูกโรงสมโภช แต่มาคิดเห็นว่า เมื่อสมโภชแล้ว เห็นจะเชิญเข้าไปประดิษฐานไว้ในพระวิหาร เพราะ :-
๑. โรงสมโภชไม่เป็นที่จะพิทักษ์รักษาในเวลาปกติได้ดีเท่าในพระวิหาร แลเป็นโรงทำชั่วคราว คงจะกีดที่หรือรักษาไว้ให้ดีอยู่เสมอไม่ได้
๒. ถ้าหากจะเชิญพระแก้วไปเก็บรักษาไว้ที่ใดให้ดี ในเวลานั้นมีแต่พระวิหารแห่งเดียว ไม่มีที่อื่น
๓. โดยปกติ โบสถ์หรือวิหารต้องมีพระพุทธรูป ที่วิหารว่างพระพุทธรูป แลปรากฏว่าพระเจดีย์มาแต่อื่นเมื่อภายหลัง ข้อนี้เป็นพยานว่าได้เคยเชิญพระพุทธรูป ซึ่งเคยมีในพระวิหารนั้นออกจากวิหารคราว ๑ ไม่มีคราวใดที่จะควรเชิญพระเก่าออก นอกจากคราวจัดพระวิหารเป็นที่ตั้งพระแก้วมรกต ย้ายพระพุทธรูปเผื่อเอาที่ตั้งพระพุทธรูป เห็นจะถือว่าไม่เป็นการบาป พระพุทธรูปอะไรบ้างที่เชิญไปจากวิหาร แลเชิญเอาไปไว้ที่ไหน ข้อนี้พิจารณาเห็นได้ คือย้ายเอาไปไว้ในโบสถ์เก่านั้นเอง ด้วยมีพระพุทธรูปเก่า ๆ ตั้งโดยทำนองที่เห็นว่าเป็นของจัดใหม่หลายองค์ แลซ้ำทำลับแลลูกฟักบังหน้าพระด้วย น่าจะทำในคราวเดียวกันนั้น
๔. ความปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร ว่าเมื่อพระยาสรรค์เอาพระเจ้ากรุงธนบุรีควบคุมขังไว้นั้น ว่าขังไว้ในพระอุโบสถวัดแจ้ง ถ้าพระวิหารว่างอยู่หรือแม้มีพระพุทธรูปสำคัญ น่าจะเอาไว้ในพระวิหาร จะเป็นด้วยพระวิหารเป็นที่ไว้พระแก้วมรกต จึงเอาพระเจ้ากรุงธนบุรีไปคุมไว้ในพระอุโบสถ
ด้วยข้อสันนิษฐานเหล่านี้ เห็นว่าความจริงจะยุติกันหมด คือ
แรกพระแก้วมาถึงตั้งสมโภชที่โรงพระแก้ว เสร็จการสมโภชแล้วเชิญมาประดิษฐานไว้ในพระวิหารวัดแจ้ง เหตุเป็นด้วยผู้แต่งหนังสือพระราชพงศาวดาร เขียนหนังสือผิดไปคำเดียว ที่ว่าเชิญพระแก้วจากโรงพระแก้วข้ามมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถ้าว่าเชิญจากพระวิหารวัดแจ้งแล้ว ก็จะยุติกันทุกฝ่าย
ถ้าจะวินิจฉัยต่อไปอีกข้อ ๑ ว่าโรงพระแก้วปลูกที่ไหน
ในหนังสือเก่ามีแต่ว่า ปลูกในสนามในกำแพงพระราชวัง คงจะเป็นพระราชวังชั้นนอก สันนิษฐานตามรูปแผนที่วัดอรุณฯ โรงพระแก้วน่าจะอยู่ตรงพระอุโบสถที่สร้างใหม่นั้นเอง ต่อไปตอนพระวิหารไว้สนามสำหรับเครื่องมหรสพหน้าพลับพลาหน่อย ๑ ตั้งพลับพลาราวตรงที่กุฎีพระเทพสุธี ดูเหมาะอย่างนี้ ถ้าลงมาริมน้ำติดโบสถ์เก่าแลพระปรางค์ แลจะใกล้กำแพงวังข้างแม่น้ำนัก บางทีเมื่อกะที่สร้างพระอุโบสถใหม่ จะกะลงตรงนั้น ด้วยเป็นที่โรงพระแก้วมาแต่ก่อน ก็จะเป็นได้ดอกกระมัง
วินิจฉัยตอนนี้โดยอัตโนมัติแท้”
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงเห็นด้วยตามลายพระหัตถ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดังลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๕๘ ว่า
“พระดำริเรื่องวิหารพระแก้ว
ซึ่งรับสั่งย้อนสัจมา เป็นญัตติตกลง เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยตามพระดำริแล้ว ข้อที่พระวิหารว่างอยู่เพราะเหตุใดนั้น เป็นข้อที่ขัดข้องใจ คิดไม่ออกจนเวลาที่ส่งหนังสือไปถวาย เกล้ากระหม่อมได้คิดเหมือนกันว่า ฉลองแล้วจะย้ายเข้าไปไว้ในพระวิหาร จึงได้เขียนลงแล้ว แต่กลับหวลไปยึดเอาพระราชพงศาวดารซึ่งกล่าวว่าเชิญพระแก้วจากโรงข้ามมานั้นอีก จึงคะเนหาเหตุประกอบที่ว่าอาจค้างในโรงนั้นได้ ด้วยเหตุสัญญาวิปลาสหมกมุ่นไปในทางอื่น แลคิดว่าถ้าได้ย้ายจากโรง
ควรจะได้สร้างวิหารใหม่ให้ดีกว่านั้น พระที่ยัดเข้าใหม่ในโบสถ์เก่าตามรับสั่งนั้นก็เห็น แต่ไม่จับเอาเป็นพยาน ไปนึกเสียว่าคงมีพระประธานองค์ใหญ่เหมือนในโบสถ์ ซึ่งจะยกไม่ได้ต้องรื้อทำลาย อันเป็นการยากที่จะทำได้ แต่อันที่จริงจะไม่มีพระประธานองค์ใหญ่อยู่ก็ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ข้อที่วิหารว่างอยู่นั้นเป็นองค์พยานอันสำคัญยิ่งกว่าในหนังสือซึ่งแต่งภายหลัง ควรฤาไปเชื่อคำในหนังสือมากไปกว่าพยานที่ตาเห็น อยู่ข้างจะเสียใจ
แต่ก่อนแต่ไรก็ไม่เคยเป็น พระดำริซึ่งทรงทักท้วงมานั้นเป็นถูกแท้แล้ว กั้นลับแลก็เป็นคราวนั้นเอง คงใช้โบสถ์เป็นหอพระ ประทับอยู่ที่นั้นโดยมาก ห้องในเป็นที่นมัสการ ห้องนอกเป็นที่ประทับเจริญพระกรรมฐาน การที่พระยาสรรค์เชิญเสด็จไปคุมไว้ที่นั้น ดูก็เป็นความสะดวกกอบด้วยความเคารพ คือคุมไว้ ณ ที่ประทับนั้นเอง” (๑)
(๑) พระวินิจฉัย ‘โรงพระแก้ว’ นี้ อยู่ในสาส์นสมเด็จ ภาค ๑ องค์การค้าของคุรุสภา พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ หน้า ๒๖ – ๕๐
พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ เป็นเวลาราว ๕ ปี (พ.ศ.๒๓๒๒ – ๒๓๒๗) จึงได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ฝั่งกรุงเทพมหานครดังกล่าวมา ส่วนพระพุทธรูปสำคัญอีกองค์ ๑ คือพระบางนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดพระราชทานให้เจ้านันทเสน นำกลับคืนไปนครเวียงจันทน์เมื่อคราวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้านันทเสน ซึ่งลงมาอยู่กรุงธนบุรีตอนปลายรัชกาล กลับขึ้นไปครองเวียงจันทน์ในปี พ.ศ.๒๓๒๕(๑) ความจริง เจ้านันทเสนได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับขึ้นไปก่อนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว ดังสำเนาสุวรรณบัตรตอนหนึ่งว่า
“ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้านันทเสนคืนเมืองเป็นพระเจ้าขัณฑเสมา นามขัตติยราชเป็นเจ้านันทเสนพงษ์มลาน เจ้าพระนครพระเวียงจันทบุรี เสกไป ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๓ (พ.ศ.๒๓๒๔) ปีฉลู ตรีศก”
แต่เจ้านันทเสน ยังรั้งรออยู่จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงขึ้นไป เป็นเวลาห่างจากวันในสุวรรณบัตร ๓ เดือน (๒)
(๑) รัชกาลที่ ๓ มีพระบรมราชโองการให้สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ไปปราบกบฏที่เวียงจันทน์ ได้อัญเชิญ
พระบางองค์นี้กลับลงมาอีก แล้วโปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ หอพระนาค วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาภายหลังจึงได้พระราชทานให้
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ ต้นสกุล สิงหเสนี) นำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ โปรดให้อัญเชิญ
กลับขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง เมื่อเดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๐๘
ดู – พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑-๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เล่ม ๒ สำนักพิมพ์ศรีปัญญา พิมพ์
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ หน้า ๑๙๖๒
(๒) ดู – จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี และพระราชวิจารณ์ฯ สำนักพิมพ์ศรีปัญญา พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ หน้า ๑๕๘
อยากจะขอทูลย้อนสัตย์สักหน่อย คือ ที่ทรงวินิจฉัยว่า โรงพระแก้วที่พระเจ้ากรุงธนบุรีสร้าง ว่ามิใช่พระแก้วเก่านั้น ตรงตามความคิดหม่อมฉัน เห็นว่าโรงพระแก้วเป็นของสร้างชั่วคราวสำหรับการสมโภชอย่างสมโภชช้างเผือกโรงนอก จึงเรียกว่าโรง แลเหตุใดจึงสร้างสมโภชชั่วคราว ก็พอเข้าใจได้ เพราะโบสถ์และวิหารวัดแจ้งเล็ก ไม่เป็นที่เปิดเผยให้มหาชนไปมานมัสการได้สะดวก จึงปลูกโรงสมโภช แต่มาคิดเห็นว่า เมื่อสมโภชแล้วเห็นจะเชิญเช้าไปประดิษฐานไว้ในพระวิหารเก่า เพราะ-
- โรงสมโภชเป็นที่จะพิทักษ์รักษาในเวลาปกติได้ดีเท่าในพระวิหารแลเป็นโรงทำชั่วคราวคงจะกีดที่หรือรักษาไว้ให้ดีอยู่เสมอไม่ได้
- ถ้าหากเชิญพระไปเก็บรักษาไว้ที่ใดให้ดีในเวลานั้น มีแต่พระวิหารแห่งเดียว ไม่มีที่อื่น
- โดยปกติโบสถ์หรือวิหารต้องมีพระพุทธรูป ที่วิหารว่างพระพุทธรูป และปรากฏว่าพระเจดีย์มาแต่อื่น เมื่อภายหลัง ข้อนี้เป็นพยานว่าได้เคยเชิญพระพุทธรูป ซึ่งเคยมีในพระวิหารนั้นออกจากวิหารคราวหนึ่ง ไม่มีคราวใดที่จะควรเชิญพระเก่าออก นอกจากคราวจัดพระวิหารเป็นที่ตั้งพระแก้วมรกต ย้ายพระพุทธรูปเพื่อเอาที่ตั้งพระพุทธรูปเห็นจะไม่ถือว่าเป็นการบาป พระพุทธรูปอะไรบ้างที่เชิญไปจากวิหาร และเชิญเอาไปไว้ที่ไหน ข้อนี้พิจารณาเห็นได้ คือ ย้ายเอาไปไว้ในโบสถ์เก่านั่นเอง ด้วยมีพระพุทธรูปเก่า ๆ ตั้งโดยทำนองที่เห็นว่าเป็นของจัดใหม่หลายองค์ และซ้ำทำลับแลลูกฟักบังหน้าพระด้วย น่าจะทำในคราวเดียวกันนั้น
- ความปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อพระยาสรรค์เอาพระเจ้ากรุงธนบุรีควบคุมขังไว้นั้น ว่าขังไว้ในพระอุโบสถวัดแจ้ง ถ้าพระวิหารว่างอยู่หรือแม้มีพระพุทธรูปสำคัญ น่าจะเอาไว้ในพระวิหาร จะเป็นด้วยพระวิหารเป็นที่ไว้พระแก้วมรกต จึงเอาพระเจ้ากรุงธนบุรีไปคุมไว้ในพระอุโบสถ
ด้วยข้อสันนิษฐานเหล่านี้ เห็นว่าความจริงจะยุติกันหมด คือ แรกพระแก้วมาถึงตั้งสมโภชที่โรงพระแก้ว เสร็จการสมโภชแล้วเชิญมาประดิษฐานไว้ในพระวิหารวัดแจ้ง เหตุเป็นด้วยผู้แต่งหนังสือพระราชพงศาวดารเขียนหนังสือผิดไปคำเดียว ที่ว่า เชิญพระแก้วจากโรงพระแก้วข้ามมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถ้าว่าเชิญจากพระวิหารวัดแจ้งแล้วก็จะยุติกันทุกฝ่าย
ถ้าจะวินิจฉัยต่อไปอีกข้อ ๑ ว่าโรงพระแก้วปลูกที่ไหน ในหนังสือเก่ามีแต่ว่า ปลูกในสนามในกำแพงพระราชวัง คงจะเป็นพระราชวังชั้นนอก สันนิษฐานตามรูปแผนที่วัดอรุณฯ โรงพระแก้วน่าจะอยู่ตรงพระอุโบสถที่สร้างใหม่นั้นเอง ต่อไปตอนพระวิหารไว้สนามสำหรับเครื่องมหรสพหน้าพลับพลาหน่อย ๑ ตั้งพลับพลาราวตรงที่กุฎีพระเทพสุธี ดูเหมาะอย่างนี้ ถ้าลงมาริมน้ำติดโบสถ์เก่าแลพระปรางค์ แลจะใกล้กำแพงวังข้างแม่น้ำนัก บางทีเมื่อกะที่สร้างพระอุโบสถใหม่ จะกะลงตรงนั้น ด้วยเป็นที่โรงพระแก้วมาแต่ก่อน ก็จะเป็นได้ดอกกระมัง วินิจฉัยตอนนี้โดยอัตโนมัติแท้”
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงเห็นด้วยตามลายพระหัตถ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดังลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๕๘ ว่า
“พระดำริเรื่องวิหารพระแก้ว ซึ่งรับสั่งย้อนสัจมา เป็นญัตติตกลง เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยตามพระดำริแล้ว ข้อที่พระวิหารว่างอยู่เพราะเหตุใดนั้น เป็นข้อที่ขัดข้องใจ คิดไม่ออกจนเวลาที่ส่งหนังสือไปถวาย เกล้ากระหม่อมได้คิดเหมือนกันว่า ฉลองแล้วจะย้ายเข้าไปไว้ในพระวิหาร จึงได้เขียนลงแล้ว แต่กลับหวลไปยึดเอาพระราชพงศาวดารซึ่งกล่าวว่าเชิญพระแก้วจากโรงข้ามมานั้นอีก จึงคะเนหาเหตุประกอบที่ว่าอาจค้างในโรงนั้นได้ ด้วยเหตุสัญญาวิปลาสหมกมุ่นไปในทางอื่น แลคิดว่าถ้าได้ย้ายจากโรง ควรจะได้สร้างวิหารใหม่ให้ดีกว่านั้น พระที่ยัดเข้าใหม่ในโบสถ์เก่าตามรับสั่งนั้นก็เห็น แต่ไม่จับเอาเป็นพยาน ไปนึกเสียว่าคงมีพระประธานองค์ใหญ่เหมือนในโบสถ์ ซึ่งจะยกไม่ได้ต้องรื้อทำลาย อันเป็นการยากที่จะทำได้ แต่อันที่จริงจะไม่มีพระประธานองค์ใหญ่อยู่ก็ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ข้อที่วิหารว่างอยู่นั้นเป็นองค์พยานอันสำคัญยิ่งกว่าในหนังสือซึ่งแต่งภายหลัง ควรฤาไปเชื่อคำในหนังสือมากไปกว่าพยานที่ตาเห็น อยู่ข้างจะเสียใจ แต่ก่อนแต่ไรก็ไม่เคยเป็น พระดำริซึ่งทรงทักท้วงมานั้นเป็นถูกแท้แล้ว กั้นลับแลก็เป็นคราวนั้นเอง คงใช้โบสถ์เป็นหอพระ ประทับอยู่ที่นั้นโดยมาก ห้องในเป็นที่นมัสการ ห้องนอกเป็นที่ประทับเจริญพระกรรมฐาน การที่พระยาสรรค์เชิญเสด็จไปคุมไว้ที่นั้น ดูก็เป็นความสะดวกกอบด้วยความเคารพ คือคุมไว้ ณ ที่ประทับนั้นเอง” (๑)
(๑) พระวินิจฉัย ‘โรงพระแก้ว’ นี้ อยู่ในสาส์นสมเด็จ ภาค ๑ องค์การค้าของคุรุสภา พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ หน้า ๒๖ – ๕๐
พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ เป็นเวลาราว ๕ ปี (พ.ศ.๒๓๒๒ – ๒๓๒๗) จึงได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ฝั่งกรุงเทพมหานครดังกล่าวมา ส่วนพระพุทธรูปสำคัญอีกองค์ ๑ คือพระบางนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดพระราชทานให้เจ้านันทเสน นำกลับคืนไปนครเวียงจันทน์เมื่อคราวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้านันทเสน ซึ่งลงมาอยู่กรุงธนบุรีตอนปลายรัชกาล กลับขึ้นไปครองเวียงจันทน์ในปี พ.ศ.๒๓๒๕(๑) ความจริง เจ้านันทเสนได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับขึ้นไปก่อนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว ดังสำเนาสุวรรณบัตรตอนหนึ่งว่า
“ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้านันทเสนคืนเมืองเป็นพระเจ้าขัณฑเสมา นามขัตติยราชเป็นเจ้านันทเสนพงษ์มลาน เจ้าพระนครพระเวียงจันทบุรี เสกไป ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๓ (พ.ศ.๒๓๒๔) ปีฉลู ตรีศก”
แต่เจ้านันทเสน ยังรั้งรออยู่จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงขึ้นไป เป็นเวลาห่างจากวันในสุวรรณบัตร ๓ เดือน (๒)
(๑) รัชกาลที่ ๓ มีพระบรมราชโองการให้สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ไปปราบกบฏที่เวียงจันทน์ ได้อัญเชิญ
พระบางองค์นี้กลับลงมาอีก แล้วโปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ หอพระนาค วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาภายหลังจึงได้พระราชทานให้
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ ต้นสกุล สิงหเสนี) นำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ โปรดให้อัญเชิญ
กลับขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง เมื่อเดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๐๘
ดู – พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑-๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เล่ม ๒ สำนักพิมพ์ศรีปัญญา พิมพ์
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ หน้า ๑๙๖๒
(๒) ดู – จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี และพระราชวิจารณ์ฯ สำนักพิมพ์ศรีปัญญา พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ หน้า ๑๕๘