ประเทศไทยได้เริ่มทำการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศอย่างจริงจังเมื่อปี พ.ศ.2398 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศอังกฤษได้ทำสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศไทยในชื่อสนธิสัญญาเบาริง จากสถิติพบว่าดุลการค้าต่างประเทศของไทยตั้งแต่ปี 2408-2499 อยู่ในฐานะเกินดุลทุกปี การขาดดุลการค้าจะเกิดขึ้นก็แต่เฉพาะในปีที่ประเทศประสบปัญหาฝนแล้งจนก่อให้เกิดการเสียหายแก่การผลิตอย่างร้ายแรง อย่างเช่นปี 2463 หรือกรณีเกิดภาวะสงครามหรือระยะหลังสงคราม คือ ระหว่างปี พ.ศ.2486-2490 แต่หลังจากปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้อยู่ในภาวะที่ขาดดุลติดต่อกัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ดังจะเห็นได้จากในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 6 ประเทศไทยขาดดุลการค้ามาโดยตลอด แต่ดุลการชำระเงินของไทยยังคงเกินดุล
สาเหตุของการค้าขาดดุลของไทยพอจะประมวลได้ดังนี้
- 1. อัตราการขยายตัวของสินค้าออกต่ำ เพราะเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
- 2. อัตราการขยายตัวของมูลค่าสินค้าเขา เนื่องจากมีความต้องการสินค้าจากต่างประเทศมาก ทั้งความต้องการสินค้าจากต่างประเทศมาก ทั้งความต้องการที่แท้จริงและความต้องการเทียมที่ผู้ผลิตสร้างขึ้น โดยอาศัยแรงจูงใจจากสื่อต่าง ๆ
- 3. การกีดกันทางการค้า ประเทศที่พัฒนาส่วนมาก จะมีนโยบายกีดกันทางการค้า เพื่อคุ้มครองสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศของตน ทำให้ไทยไม่สามารถส่งสินค้าออกไปแข่งขันได้อย่างเสรีในตลาดโลก
- 4. การเร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมส่งออก จากการที่รัฐบาลมีนโยบายให้มีการผลิต เพื่อการส่งออก ส่งผลให้มีการนำเข้าวัตถุดิบ สินค้ากึ่งสำเร็จรูป และสินค้าประเภททุน รวมทั้งนำน้ำมันหล่อลื่น และน้ำมันเชื้อเพลิง
- 5. นโยบายการค้าเสรี รัฐบาลไทยทุกสมัยจะมีนโยบายเสรีด้านการนำเข้า แม้จะมีการเก็บภาษีนำเข้า แต่อัตราภาษีก็อยู่ในระดับต่ำ หรือในบางกรณีก็ได้รับการยกเว้น เพราะเป็นการนำเข้ามาเพื่อผลิตเป็นสินค้าอุตสาหกรรมตามวัตถุประสงคืของแผนพัฒนาฯฉบับต่าง ๆ ขณะที่สินค้าออกบางชนิด เช่น ข้าว ถูกควบคุมอย่างเด็ดขาด
แม้ประเทศไทยจะประสบปัญหาการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศติดต่อกันมาโดยตลอด แต่ในด้านความเชื่อถือทางการเงินระหว่างประเทศ เงินบาทของประเทศไทยก็ได้ชื่อว่ามีความมั่นคง เนื่องจากดุลการชำระเงินของไทยเกินดุลทุกปี สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดุลชำระเงินของประเทศไทยเกินดุลคือมีการเคลื่อนย้ายเงินตราต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยจึงผูกพันเข้ากับระบบการค้าของโลกอย่างเหนียวแน่น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องมีนโยบายเฉพาะเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ ทั้งในรูปของการเจรจากับประเทศคู่ค้า การส่งเสริมให้มีการปรับปรุงสินค้าและบริการให้ได้มาตรฐานเพื่อให้สินค้าที่ไปจากประเทศไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ นโยบายดังกล่าวกระทรวงพาณิชย์ของไทย ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศโดยตรงจะเป็นผู้กำหนดคือ
- 1. ด้านการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ
- ก. เน้นบทบาทการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับพหุภาค และภูมิภาคโดยถือเป็นกลยุทธเพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจาเพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของประเทศ
- ข. ปรับปรุงกลไกการดำเนินงานด้านข่าวสารการค้า เพื่อนำมาเผยแพร่แก่กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเพื่อใช้ในการกำหนดท่าทีในการเจรจาและแก้ปัญหาการค้าให้ทันสถานการณ์
- 2. ปรับปรุงตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยการ
- ก.พัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตและปรับปรุงคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐานตามความต้องการของตลาดโดยเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีและฝีมือแรงงาน
- ข. พัฒนาแหล่งวัตถุดิบภายในประเทศ และแสวงหาแหล่งวัตถุดิบที่จำเป็นจากต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
- ค. แสวงหาโอกาสลู่ทางที่จะขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับการแสวงหาวัตถุดิบเพื่อป้อนอุตสาหกรรมในประเทศ
- ง. รักษาส่วนแบ่งการตลาดดั้งเดิม เช่น สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศประชาคมยุโรป ญี่ปุ่น และอาเซียน และขยายตลาดใหม่ ๆ เช่น ยุโรปตะวันออก และอินโดจีน
- จ. ปรับปรุงกฎระเบียบและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น การแก้ไขกฎระเบียบทางการค้า การปรับอัตราภาษี เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการส่งออก การพัฒนาระบบขนส่ง ท่าเรือ ท่าอากาศยาน และคลังสินค้า ให้เพียงพอต่อการขยายตัวด้านการส่งออก
- 3. การค้าบริการ
นอกจากจะส่งเสริมการค้าสินค้าแล้ว กระทรวงพาณิชย์ยังมีนโยบายส่งเสริมการค้าบริการระหว่างประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางเสรียิ่งขึ้น ได้แก่
ก. ส่งเสริมให้มีศักยภาพในการผลิตและแข่งขันด้านบริการให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านการขนส่งสินค้าและการประกันภัย
- ข. ส่งเสริมให้มีการขยายการลงทุนในธุรกิจบริการที่มีศักยภาพสูงในการแข่งขันกับต่างประเทศ เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยว การโรงแรม และการบินพาณิชย์ เป็นต้น
การขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และขยายตัวเพิ่มขึ้นอาจส่งผลมาถึงดุลการชำระเงิน ถ้ามีการเคลื่อนย้ายการลงทุนในปริมาณต่ำ และเสถียรภาพเงินตราของประเทศ ตลอดจนการกำหนดราคารับซื้อผลิตผลจากผู้ผลิตภายในประเทศ ภาวะการจ้างงาน และคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศในที่สุด ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศด้วยวิธีการร่วมกับภาคเอกชนในการแสวงหาตลาดสินค้าออก เจรจาทางการค้ากับประเทศคู่ค้า ส่งเสริมให้มีการปรับปรุงสินค้าและบริการให้ได้มาตรฐานสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้