การแพร่ระบาดของ “โควิด 19” ระลอกล่าสุด ทำให้รัฐบาลต้องประกาศมาตรการคุมเข้มอีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือมาตรการ “ล็อกดาวน์” ซึ่งส่งผลให้ร้านค้าบริการ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าต้องปิดหน้าร้านลงชั่วคราว ทำให้ผลสำรวจการ “ช้อปปิ้งออนไลน์” ของคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน
บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด ผู้บริการแพลตฟอร์ม Priceza.com เครื่องมือค้นหาสินค้าและเปรียบเทียบราคา (Shopping Search Engine) ให้ข้อมูลว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศไทยปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 30% ช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้แม้โควิดจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ แต่คาดว่าจะได้เห็นการเติบโตเชิงบวกจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาจับจ่ายซื้อสินค้าบนออนไลน์แทนออฟไลน์ ทำให้ผู้ค้าปรับตัวมาสู่ออนไลน์มากขึ้น
ผลสำรวจพบว่า ในปัจจุบันการแข่งขันของบรรดาสินค้า เน้นการจัดทำโปรโมชั่นเป็นหลัก มีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ SME ซึ่งมีการโหมทำโปรโมชั่นและใช้กลยุทธ์ตัดราคากันเอง รวมถึงการทุ่มงบประมาณการลงทุนจำนวนมากไปกับการโฆษณา ซึ่งทำให้ธุรกิจมีต้นทุนที่สูงขึ้นหรืออาจขาดทุนได้ อย่างไรก็ตามแนวโน้มของตลาดออนไลน์ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่คงไม่เติบโตแบบก้าวกระโดดระดับ 81% เหมือนกับปีที่ผ่านมาเนื่องจากผ่านจุดการเปลี่ยนผ่านมาแล้ว
คนไทยช้อปปิ้งเก่งติดอันดับ 3 โลก
ด้าน We are Social แพลตฟอร์มการบริหารจัดการสื่อสังคมออนไลน์ชั้นนำของโลก เผยรายงาน Global Digital Stat 2021 ในส่วนของอีคอมเมิร์ซไทยปีนี้ว่า วิกฤติโควิดเป็นปัจจัยสำคัญทำให้การเติบโตของอีคอมเมิร์ซไทยทั้งระบบขยายตัวเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ
สถิติได้เก็บรวบรวมข้อมูลว่า คนไทย “ช้อปปิ้งออนไลน์” สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก หรือราว 83.6% สูงกว่าหลายประเทศพัฒนาแล้ว เช่นเดียวกับการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งคนไทยครองอันดับ 2 ของโลกด้วยสัดส่วนที่มากถึง 74.2%
ขณะที่สัดส่วนการใช้เงินบนออนไลน์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา สินค้าประเภทแฟชั่นเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกใช้เงินมากที่สุด แต่หมวดอาหารและของใช้ส่วนตัวกลับมีการเติบโตสูงสุด 41% เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ซึ่งผลส่วนหนึ่งมาจากการล็อกดาวน์ ที่ส่วนใหญ่มักใช้วิธีสั่งอาหารผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่มากกว่า แต่ที่ลดลงมากที่สุดคือ หมวดการท่องเที่ยวจากมาตรการห้ามการเดินทางทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีสถิติที่น่าสนใจ พบว่า คนไทยใช้แอปพลิเคชันธนาคาร หรือ Mobile Banking สูงที่สุดในโลกด้วยตัวเลขที่มากถึง 68.1%
นอกจากนี้ยังมีผลวิจัยด้านเศรษฐกิจดิจิทัล “เศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2563 (e-Conomy SEA 2020)” โดยทีมวิจัย Google, Temasek และ Bain & Company เผยแพร่ผลประเมินมูลค่าเศรษฐกิจการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า ระบุด้วยว่า อีคอมเมิร์ซในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด
โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 81% จากปีที่ผ่านมา มีมูลค่าแตะ 9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2568 แม้วิกฤตการณ์โควิด 19 จะส่งผลกระทบแต่การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซได้ช่วยชดเชยการชะลอตัวของการท่องเที่ยวและการขนส่งออนไลน์
รายงานยังเผยด้วยว่า เทคโนโลยีจะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของผู้คน โดยช่วง “ล็อกดาวน์” มีการเติบโตก้าวกระโดดของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ใช้จํานวนมากเริ่มลองใช้บริการดิจิทัลใหม่ๆ โดยสัดส่วน 30% ของผู้ใช้บริการดิจิทัลทั้งหมดเป็นผู้ใช้รายใหม่ และสัดส่วนกว่า 95% ตั้งใจใช้บริการดิจิทัลต่อไปหลังช่วงระบาด
ขณะที่ ปัจจุบันคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 11 ชั่วโมง 25 นาที เพิ่มขึ้นจากปี 62 ประมาณ 1 ชม 3 นาที ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ไปกับการค้นหาข้อมูล ใช้โซเชียล และซื้อของออนไลน์
คาดมูลค่ารวม 4-5 แสนล้านบาท
บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปี 2563 กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมียอดสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว เช่น หม้อทอดไร้น้ำมันยอดขายโต 3 เท่า รวมถึงสินค้าตกแต่งบ้านก็โตขึ้น ทำให้ปีก่อนตลาดอีคอมเมิร์ซโตขึ้นกว่า 81% หรือมีมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่าผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายผ่าน ช้อปปิ้งออนไลน์ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปีนี้มองว่าตลาดอีคอมเมิร์ซจะยังมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 หลัก หรือมีโอกาสที่จะมีมูลค่ารวมถึง 400,000 ล้านบาทได้
ในส่วนของลาซาด้า ปี 2564 นี้พร้อมใช้งบการตลาดและโปรโมชั่นมากกว่าปีก่อน ภายใต้การจัดเมกะแคมเปญใหญ่ 6 แคมเปญ มากกว่าปีก่อนที่จัด 5 แคมเปญใหญ่ ซึ่งปีนี้มีแคมเปญ 3.3 เพิ่มเข้ามา นอกจากนี้จะมีการทำโปรโมชั่นการขายราคาถูก ราคาต่ำกว่า 9 บาท เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้มากขึ้นด้วย เพื่อผลักดันให้ภาพรวมปีนี้โตขึ้น 100% หรือ 3 เท่าตัว ทั้งใน 3 ส่วนหลัก คือ ยอดขาย, ออเดอร์การสั่งซื้อ และจำนวนผู้ขายที่ต้องเพิ่มขึ้น 3 เท่าเช่นกัน
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Creden Data เผยรายได้ของอีมาร์เก็ตเพลส 3 รายใหญ่ในไทย ได้แก่ ช้อปปี้ ลาซาด้า และเจดีเซ็นทรัลฯ ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยมากที่สุด พบว่า ลาซาด้า ประเทศไทย มีรายได้ปี 2563 อยู่ที่ 10,011,765,022 เพิ่มขึ้นจากรายได้ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 9,413,215,643 บาท เติบโตราว 6%
ช้อปปี้ ประเทศไทย มีรายได้ปี 2563 ที่ 5,812,790,479 บาท โตขึ้น 192.69 % จากปี 2562
ส่วนบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด หรือเจดีเซ็นทรัล มีรายได้ปี 2563 ที่ 3,491,691,996 บาท เติบโต 171% จากปี 2562 มีรายได้ 1,284,831,719 บาท
การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยนี้ มีทิศทางที่สอดคล้องกับมาตรการล็อกดาวน์ซึ่งทำให้การซื้อสินค้าเปลี่ยนมาอยู่บนออนไลน์เกือบ 100% นั่นทำให้ภาพรวมการเติบโตสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะกลุ่ม B2C และ C2C ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมูลค่าน่าจะทะลุไปถึง 5 แสนล้านบาทต่อปีได้ไม่ยากในอนาคต
ทั้งนี้ เมื่อการเติบโตของอีคอมเมิร์ซสูงขึ้น บรรดาพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ต้องมองหาโอกาสให้เข้ากับสถานการณ์และพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้น เช่น การเลือกสินค้าจำหน่ายในช่วงที่ตลาดกำลังต้องการเพิ่มเติมจากสินค้าที่มีอยู่เดิม เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สมุนไพรไทยสินค้าเพื่อความบันเทิงที่คนในครอบครัวสามารถใช้เวลาร่วมกันได้ ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมของผู้ซื้อในช่วงล็อคดาวน์และ Work From Home การมองหาความต้องการที่สอดรับกับสถานการณ์เช่นนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายให้ดียิ่งขึ้นได้