ใครติดโควิด-19 ช่วงนี้ยังมีสิทธิรักษาฟรีทุกโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน เพราะรัฐจ่ายให้ แต่นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.นี้ ถอดออกจากโรคฉุกเฉิน ใครที่ป่วยไม่หนัก ไม่วิกฤติ จะเข้านอนโรงพยาบาลเอกชนจะไม่ฟรีแล้ว ถ้าไม่มีประกันสังคมของโรงพยาบาลตามสิทธินั้น หรือไม่ได้ทำประกันสุขภาพเอง ส่วนการรักษาโรงพยาบาลรัฐยังฟรีตามสิทธิที่มีอยู่
แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขเตรียมประกาศยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดผู้ป่วยฉุกเฉิน โรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ที่เคยประกาศไว้เมื่อช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ๆ เป็นโรคฉุกเฉิน โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.นี้ เพื่อสำรองเตียงสำหรับผู้ป่วยโควิดอาการหนัก และผู้ป่วยโรคอื่นๆ เพราะช่วงต้นของโรคโควิด-19 ระบาด ถือเป็นโรคใหม่ที่คาดเดายากในการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ จึงดำเนินการให้ผู้ป่วยได้สิทธิยูเซป หรือ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients)
UCEP คือ สิทธิการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ให้สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจนกว่าจะพ้นวิกฤติ หรือสามารถเคลื่อนย้ายได้โดยปลอดภัย แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
การยกเลิกประกาศเรื่องกำหนดผู้ป่วยฉุกเฉินฯ ของโรคฉุกเฉินโควิดดังกล่าวมีเงื่อนไขการเข้ารักษาผู้ป่วยติดโควิด -19 ในโรงพยาบาลเอกชนเปลี่ยนไป นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.ดังนี้
- การรักษาโควิด-19 ในโรงพยาบาลเอกชนสำหรับผู้ป่วยอาการไม่อยู่ในระดับวิกฤติ จะไม่ฟรีอีกต่อไป จากเดิมที่ผู้ป่วยติดโควิด-19 ดังกล่าวสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะรัฐรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้
- ค่าใช้จ่ายในการรักษาโควิด ยังสามารถใช้สิทธิประกันสังคมที่ผู้ประกันตนเลือกโรงพยาบาลเอกชนไว้ได้ หากแพทย์วินิจฉัยว่าต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
- กรณีไม่มีสิทธิประกันสังคม ผู้เข้ารับการรักษาโควิดที่โรงพยาบาลเอกชน สามารถใช้สิทธิประกันสุขภาพที่ทำไว้เอง แต่ส่วนนี้ยังต้องรอให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ไปเจรจากับธุรกิจประกันว่า จะตีความว่าผู้ป่วยโควิดที่รักษาตัวอยู่ที่บ้าน หรือในฮอสพิเทล เป็นผู้ป่วยในสามารถใช้สิทธิประกันสุขภาพที่ทำอยู่ได้หรือไม่ รวมถึงต้องจ่ายเพื่อซื้อประกันโรคโควิดเพิ่มหรือไม่
ส่วนที่ยังคงเดิมคือ ผู้ที่ถือบัตรประกันสังคม บัตรทอง หรือสิทธิราชการ เข้ารักษาในสถานพยาบาลรัฐและเอกชนได้ตามสิทธิที่มีอยู่ตามปกติ และผู้ป่วยวิกฤติระดับสีเหลืองและแดง ยังได้รับการดูแลรักษา ตามหลักเกณฑ์ของ UCEP Plus
ขณะเดียวกัน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) โดย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์
อธิบดีกรม สบส. ยืนยันว่า ก่อนที่ประกาศยกเลิกจะมีผลวันที่ 1 มี.ค.นี้ หากสถานพยาบาลเอกชนเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลจากผู้ป่วยโควิด-19 หรือญาติ จะถือว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541
ซึ่งผู้ประกอบกิจการและผู้ดำเนินการสถานพยาบาล จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนการดำเนินการจัดทำ UCEP Plus เพื่อให้ผู้ที่มีอาการฉุกเฉินวิกฤติเข้าข่ายสีเหลือง หรือสีแดง เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจซึ่งต้องใช้ออกซิเจน หรือผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก (ICU) ยังสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลกับสถานพยาบาลทุกแห่งได้
ส่วนผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ หรือสีเขียว ยังคงให้รักษาแบบกักตัวอยู่ที่พัก ที่บ้าน (Home Isolation) กักตัวในชุมชน (Community Isolation) หรือสถานที่กักตัวในโรงแรม (Hotel Isolation) หรือฮอสพิเทล ซึ่งการพิจารณาว่าจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวหรือไม่ มีหลักเกณฑ์ตามที่กรมการแพทย์เคยประกาศไว้ เช่น เมื่อมีอาการไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส ในระยะเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง ค่าออกซิเจน (Oxygen saturation) ต่ำกว่า 94% กลุ่มผู้ป่วย 608 คือผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยง เป็นต้น
ใครๆก็รู้กันหมดว่าเดี๋ยวนี้ การไปหาหมอ โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนนั้น หากเข้าไปผ่าตัดเล็ก หรือ แม้แต่การนอนโรงพยาบาลเพียงไม่กี่คืน ค่าใช้จ่ายก็อาจยาวไป 5-6 หลักแล้ว ดังนั้นคงไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลายๆคนจะไม่มีเงินสำหรับจ่ายค่าหมอ ค่าพยาบาล ค่ายา และค่า Admit ที่โรงพยาบาล จนอาจกลายเป็นเรื่องปกติที่ต้องไปยืมญาติ ยืมเพื่อนให้เห็นกันเป็นประจำ ซึ่งปัญหาของการที่ไม่มีเงินจ่ายค่าโรงพยาบาล อันดับต้นๆเลยก็คือ ไม่ได้ทำประกันสุขภาพเอาไว้ และนี่คือ วิธีที่จะจัดการกับปัญหา เงินไม่พอจ่าย ค่ารักษาพยาบาล
คำถามแรกที่ทุกคนสงสัย – หากไม่มีเงินจ่ายค่าโรงพยาบาลจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น?
- คำถามแรกที่ทุกคนสงสัย – หากไม่มีเงินจ่ายค่าโรงพยาบาลจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น?
- 1เช็คค่าใช้จ่ายให้ชัวร์ ว่าตรงตามที่ได้รับบริการจริงๆ
- 2
- ถ้ามีข้อสงสัย อย่าพึ่งเซ็นต์เอกสารรับทราบ
- 3
- คิดจะใช้บัตรเครดิตจ่าย อาจกลายเป็นหนี้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
- 4
- แจ้งโรงพยาบาล ขอจ่ายตามระยะเวลาที่กำหนด แบบไม่มีดอกเบี้ย
- 5
- ขอส่วนลดค่ารักษาพยาบาล หากจ่ายในระยะเวลาที่กำหนด
- 6
- กู้เงิน สำหรับจ่ายค่ารักษา
- 7
- กู้ไม่ผ่าน ยังมีสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ รออยู่
- ผู้ติดตามหนี้ค่ารักษาพยาบาล สามารถทำอะไรเราได้บ้าง?
- หากโดนทวงหนี้เรื่องนี้ ให้อัดเสียงโทรศัพท์ไว้ และ จดทุกอย่างที่คนทวงหนี้พูดเป็นลายลักษณ์อักษร
- โดนทวงหนี้ แม้จ่ายได้ไม่เต็ม ก็ต้องจ่ายบ้าง
- บทสรุปของหนี้โรงพยาบาล
จริงๆแล้วก่อนการเข้ารับการรักษา แทบทุกโรงพยาบาล จะมีการถามผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยก่อนว่า มี ประกันอะไรเบิกได้หรือไม่? หรือมีเงินรักษาเพียงพอหรือไม่? ซึ่งตรงนี้คือการ Pre-screen หรือการคัดกรองผู้ป่วยที่มีความสามารถหรือไม่มีความสามารถในการจ่ายเบื้องต้น แต่ถ้ารักษาต่อเนื่องไป เช่นต้องนอนแอดมิด หลายๆ วัน เกิดตังค์ไม่พอขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น?
มาตรการของโรงพยาบาล แต่ละแห่งจะแตกต่างกันออกไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว หากไม่มีเงินที่จะจ่ายจริงๆ ทางโรงพยาบาลจะเข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจไว้ก่อน และปล่อยตัวผู้ป่วยกลับบ้าน (ทางโรงพยาบาลไม่มีสิทธิ์กักขังหน่วงเหนี่ยวเราไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลได้) ต่อมาจะเป็นตามขั้นตอนดังนี้
- ทางโรงพยาบาลจะ เข้าเจรจากับผู้ป่วย เพื่อให้จ่ายค่ารักษาพยาบาล ตามระยะเวลาที่กำหนด
- เมื่อไม่สามารถจ่ายได้ ก็จะให้ผ่อนจ่ายเป็นรายเดือน
- หากผ่อนจ่ายรายเดือนแล้วยังขาดค่ารักษาพยาบาล ก็จะมีการคิดดอกเบี้ย
- และสุดท้ายหากไม่ได้จริงๆ ทาง โรงพยาบาลอาจส่งฟ้องศาล โดยจะเป็นเรื่องทางกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องทันที
1เช็คค่าใช้จ่ายให้ชัวร์ ว่าตรงตามที่ได้รับบริการจริงๆ
โรงพยาบาลส่วนใหญ่ มีการคิดค่าใช้จ่ายที่เป็นธรรม แต่ก็มีไม่น้อยที่มีความผิดพลาดในการคำนวณบ้างในบางครั้งบางคราว โดยที่ความผิดพลาดส่วนใหญ่ก็จะเกิดการทำใบแจ้งหนี้ การรวมรายการต่างๆเข้าด้วยกัน เช่นค่าอาหารสำหรับผู้ป่วย ค่ายา ค่าพยาบาล ค่าหมอ หากเราเป็นญาติผู้ป่วย หรือ เป็นผู้ป่วยเอง ที่กำลังจะออกจากโรงพยาบาล ไม่ว่าจะมีเงินจ่ายหรือไม่ก็ตาม เราควรต้องเช็คค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ถูกต้อง เพราะแน่นอนว่าอาจมีรายการที่เราไม่คุ้น ก็สามารถสอบถามกับทางฝ่ายการเงินของโรงพยาบาลได้ตลอดเวลา
2
ถ้ามีข้อสงสัย อย่าพึ่งเซ็นต์เอกสารรับทราบ
โดยปกติฝ่ายการเงินของโรงพยาบาล จะมีการส่งเอกสารให้เราตรวจสอบ ก่อนการเรียกเก็บเงินจริง หากมีจุดใดที่คิดว่าไม่ถูกต้องควรต้องแย้งกับทางเจ้าหน้าที่ และ ห้ามเซ็นต์เอกสารใดๆ หากว่ายังไม่แน่ใจ หรือ ยังไม่ได้รับการอธิบายที่ดีพอ จากเจ้าหน้าที่เป็นอันขาด
3
คิดจะใช้บัตรเครดิตจ่าย อาจกลายเป็นหนี้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
หลังจาการเช็คค่าใช้จ่าย หรือมีการปรับปรุงเรื่องยอดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอนการจ่ายค่ารักษาพยาบาล และแน่นอนว่า คนที่มาอ่านบทความนี้ มากกว่า 90% อาจไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาล ดังนั้น สิ่งที่คิดได้ก็คือ ก็จะใช้บัตรเครดิตในการจ่าย รูดไปก่อนแล้วถึงจะมาจ่ายค่าบัตรคืนในภายหลัง
ซึ่งการจ่ายด้วยบัตรเครดิต กับค่ารักษาพยาบาลนั้น จะทำให้เราสามารถเคลียร์ทุกอย่างได้ โดยหลังจากการเคลียร์หนี้กับโรงพยาบาลเรียบร้อย แต่เราจะมาติดหนี้บัตรเครดิตแทน ซึ่งหากไม่มีเงินที่พอจ่ายอยู่แล้ว หนี้บัตรเครดิต อาจจะทำให้ค่ารักษาพยาบาลของเราแพงกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว
เพราะเมื่อจ่ายค่าบัตรเครดิตไม่ครบตามที่กำหนด หรือไม่ได้จ่ายเต็มจำนวน ย่อมมีดอกเบี้ยมากถึง 18%-28% ต่อปี และเพราะการจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลนั้น สามารถต่อรองได้มากกว่าการจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิต โดยที่หากว่ามีเงินไม่พอจ่ายค่ารักษา เราอาจทำการจ่ายไปส่วนหนึ่งก่อน และมาเคลียร์กันทีหลัง หรือตกลงกันว่าจะจ่ายค่ารักษา ค่าโรงพยาบาลต่างๆ ในระยะเวลาที่กำหนด ในรูปแบบผ่อนจ่าย หรือ จ่ายเป็นก้อน ก็ได้เช่นเดียวกัน
4
แจ้งโรงพยาบาล ขอจ่ายตามระยะเวลาที่กำหนด แบบไม่มีดอกเบี้ย
โรงพยาบาลไม่ได้อยากจะได้ดอกเบี้ยอยู่แล้ว และเค้าเพียงแต่อยากจะได้ในส่วนที่เค้าต้องได้เท่านั้น นั่นก็คือค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด การทำข้อตกลง หรือ สัญญากับทางโรงพยาบาล เกี่ยวกับการใช้หนี้คืน ตามระยะเวลาที่กำหนด เป็นทางออกที่ดีในเบื้องต้น สำหรับ ผู้ที่ไม่มีเงินจ่าย
5
ขอส่วนลดค่ารักษาพยาบาล หากจ่ายในระยะเวลาที่กำหนด
หลายแห่ง อาจให้ส่วนลดทันที 10% กับค่าบริการ แต่ไม่ใช่ค่ายา แต่ก็อาจมีทางออกสำหรับผู้ที่มีเงินฝืดเคืองจริงๆ โดยการขอต่อรองโรงพยาบาลว่า ขอส่วนลดในการรักษาพยาบาล หากจ่ายภายใน 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ซึ่งในจุดนี้ หากทางโรงพยาบาลยอมรับได้ ก็ต้องทำหน้าที่ในการจ่ายให้ตรงด้วย
6
กู้เงิน สำหรับจ่ายค่ารักษา
เมื่อมาถึงจุดที่ต้องจ่ายค่ารักษาแล้ว การกู้ยืมเงิน หรือ ขอสินเชื่อ เพื่อมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลนั้นเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะเดี๋ยวนี้มีสินเชื่อหลายตัวที่ออกแบบมาสำหรับการจ่ายค่ารักษาพยาบาลจริงๆ
ยกตัวอย่าง โครงการแต้มต่อชีวิต ที่รวมเอาโรงพยาบาลรัฐ 11 แห่ง จากทุกภูมิภาค ร่วมกับ บัตรกรุงศรี เฟิร์สช้อยส์ ในการผ่อนจ่ายค่ารักษาพยาบาล 0% นาน 3 เดือน
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ สินเชื่อเพื่อการรักษาพยาบาล แบบผ่อนได้ จาก SCB EASY ที่สามารถ ขอได้ผ่าน SCB Application ซึ่งจะมีวงเงินตั้งแต่ 20,000 – ไปจนถึง 2 ล้านบาท ผ่อนได้ 20 เดือน โดยมีดอกเบี้ย 15% ต่อปี และสูงสุด 28% ต่อปี หากมีการผิดนัดชำระหนี้ และดอกเบี้ยสามารถเลือกได้แบบ คงที่ หรือ ลดต้นลดดอกกได้ ซึ่งคาดว่า ผลิตภัณฑ์สินเชื่อตัวนี้ น่าจะใช้ฐานเดียวกันกับ SCB Speedy Loan ที่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่แล้ว
กู้ไม่ผ่าน ยังมีสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ รออยู่
หากลองไม้ตายสุดท้ายแล้วยังไม่ผ่านในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล โดยการกู้ธนาคาร จริงๆแล้ว ทางออกอีกทางหนึ่งก็คือการนำหลักทรัพย์ไปจำนำ โดยยกตัวอย่างการรีไฟแนนซ์รถยนต์ เพื่อนำเงินออกมาใช้ การจำนำทะเบียนรถ ก็จะช่วยได้เช่นกัน ไม่มากก็น้อย และนี่คือทางสุดท้ายก่อนการไปยืมเพื่อน ยืมญาติ หรือ โดนสั่งฟ้อง กับการที่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล
ผู้ติดตามหนี้ค่ารักษาพยาบาล สามารถทำอะไรเราได้บ้าง?
มาถึงตอนนี้ หากจ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่ได้เลยซักทาง ไม่รู้จะต้องทำยังไงดี เราก็อาจจะเจอกับบริษัทติดตามทวงถามหนี้ นอกเหนือจากโรงพยาบาลที่ต้องเจอ และสิ่งที่เราต้องเจอก็คือการโดนทวงถาม และอาจยืดยาวไปถึงการโดนฟ้องร้อง ขึ้นศาล แต่นี่คือสิ่งที่ผู้ทวงหนี้ทำไม่ได้
- ขู่เข็ญ หรือประทุษร้าย ทางร่างกาย และจิตใจ
- แจ้งว่าเราทำผิดกฎหมายอาญา
- ขู่ หรือ ทำการประจานเรื่องของเรากับญาติ เพื่อน ผู้ร่วมงาน
- โทรหาทั้งวันทั้งคืน โดยไม่สนเรื่องเวลา
- ใช้ภาษาพูดหยาบคาย หรือทำให้กลัว
- และอื่นๆ
หากโดนทวงหนี้เรื่องนี้ ให้อัดเสียงโทรศัพท์ไว้ และ จดทุกอย่างที่คนทวงหนี้พูดเป็นลายลักษณ์อักษร
แม้แต่หนี้รักษาพยาบาล คนทวงหนี้อาจไม่ได้คำนึงถึงว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย เพราะหน้าที่เค้าคือการทวงหนี้เท่านั้น และการคุยกับเจ้าหน้าที่ ภาษาที่ใช้กันอาจทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นได้บางครั้งบางคราว การอัดเสียงไว้ และ จดทุกอย่างที่คนทวงหนี้พูดเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อนำมาสอบถามกับผู้รู้ ทนาย หรือ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องกฎหมายต่อไป
โดนทวงหนี้ แม้จ่ายได้ไม่เต็ม ก็ต้องจ่ายบ้าง
แน่นอนว่าหากเราทวงหนี้ใครเราก็อยากได้เต็ม แต่ถ้าไม่ได้เต็ม ได้มาก่อนนิดหน่อยก็ยังดี ใจเขาใจเราเหมือนกัน การบอกผู้ทวงหนี้ว่า เราจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งไปก่อน ก็อาจทำให้เรื่องราวและอารมณ์ความร้อนแรงของทั้งสองฝ่ายดีขึ้น สามารถคุยกันได้มากขึ้น เราแนะนำให้มีการจ่ายหนี้บางส่วนไปบ้าง เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ และจริงๆแล้ว มันเป็นสิ่งที่เราควรทำตั้งแต่ต้นแล้ว
บทสรุปของหนี้โรงพยาบาล
หนี้จากโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด เพราะหลังจากป่วยแล้ว พึ่งหาย ก็จะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก ไม่ว่าจะทำอะไร ก็อย่าเพิกเฉยกับหนี้ที่ต้องจ่าย และควรคิดให้รอบคอบก่อนการจ่ายทุกครั้ง และการจ่ายหนี้โรงพยาบาล มันไม่เหมือนกับการจ่ายบิลค่าเน็ต ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ที่ต้องจ่ายทุกๆเดือน การเตรียมพร้อมสิ่งที่อาจเกิดขึ้น คือการป่วยเช่นการซื้อประกันสุขภาพ ก็เป็นสิ่งที่ควรวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น และไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไหร่ก็ตาม ควรเจียดเงินมาซื้อประกันในรูปแบบนี้ไว้ จะได้ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ดังเช่นในบทความนี้
อ่านต่อเกี่ยวกับประกันสุขภาพ
- ประกันสุขภาพครอบครัว คืออะไร เลือกทำแบบไหนได้บ้าง
- ประกันสุขภาพแห่งชาติ คืออะไร ?
- ถ้ามีประกันสุขภาพแล้ว ควรทำประกันอุบัติเหตุด้วยหรือไม่
- ประกันสุขภาพเด็ก Super Kids สินมั่นคง ดีไหม ?
- “ประกันสุขภาพได้หมด” สุขภาพดี ไม่มีเคลม รับส่วนลดเบี้ยสูงสุด 30%