จังหวัดเลยมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์โบราณวิทยา และโบราณคดีที่ยาวนานจังหวัดหนึ่ง บริเวณพื้นที่ อำเภอภูกระดึง อำเภอวังสะพุง อำเภอภูหลวง อำเภอเมืองเลย อำเภอภูเรือ อำเภอด่านซ้าย และอำเภอเชียงคาน ของจังหวัดเลย ประวัติศาสตร์จังหวัดเลยแบ่งออกเป็น ๓ ยุคคือ (พิสิฐ เจริญวงศ์,๒๕๒๘ : ๒๕.)
๑. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จังหวัดเลย อยู่ในระหว่าง ๕,๖๐๐-๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว มีหลักฐานทางด้านโบราณ วิทยาและโบราณคดี หลักฐานทางด้านโบราณวิทยา ที่พบในจังหวัดเลย ได้แก่ รอยเท้าไดโนเสาร์ที่บริเวณผาเตลิ่น บนภูหลวง ในเขตอำเภอภูเรือ จำนวน ๑๖ รอยเท้า
และที่หมันขาวอำเภอด่านซ้าย มีรอยเท้าจำนวน ๓ รอยจากการศึกษาของ ผู้เชี่ยวชาญพบว่า เป็นรอยเท้าของไดโนเสาร์จำพวกกินเนื้อเดินสองขาด้วยขาหลัง สูงประมาณ ๓ เมตร มีชีวิตอยู่ เมื่อประมาณ ๑๔๐ ล้านปีมาแล้ว (พิสิฐ เจริญวงศ์ ๒๕๒๘) หลักฐานทางด้านโบราณคดี ที่พบได้แก่ ศิลปะถ้ำ เครื่องมือหิน กำไลสำริด เหล็ก ทองเหลือง และภาชนะต่าง ๆ ๑.๑ ศิลปะถ้ำ
ศิลปะ เป็นทรัพยากรที่ต่างไปจากทรัพยากรธรรมชาติที่คนทั่ว ๆ ไป เห็นแล้วรู้ว่าเป็นอะไร แต่อาจมองศิลปะไม่เป็น เพราะรูปศิลปะที่ปรากฏอาจจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เห็นในธรรมชาติก็ได้ เว้นแต่จะเลียนแบบขึ้น อดีตมนุษย์ยังไม่มีหนังสือใช้ มนุษย์ใช้ศิลปะเป็นสื่อมากกว่าสมัยนี้ เพราะศิลปะเป็นสื่อบอกเล่า ให้คนในกลุ่มสังคมเดียวกันเข้าใจอีกทางหนึ่งเพิ่มเติมจากภาษาพูด
และเป็นสิ่งติดต่อกับพลังเหนือธรรมชาติ อีก หลายเรื่องหลายทางด้วยกัน งานศิลปะที่ทำอยู่ในถ้ำ ปากถ้ำ จึงเรียกว่า “ศิลปะถ้ำ” แต่ในความเป็นจริงแล้วงานศิลปะ ประเภท นี้ยังทำอยู่ตามหน้าผา เพิงผา และเพิงหินด้วย สำหรับจังหวัดเลย เพิงผาหรือเพิงหินที่ให้ร่มเงาได้ ชาวบ้านเขาเรียกว่า ถ้ำกันทั้งนั้น เช่น ถ้ำผาฆ้อง และถ้ำผาฆ้อง ๒ ถ้ำมโหฬาร ถ้ำสูง ถ้ำลายแทง
ถ้ำพระ ถ้ำมือ ถ้ำคิววิว ถ้ำผาปู่ ภูถ้ำพระ (ตำบลกกดู่) และถ้ำขาม ล้วนแต่เป็นเพิงหินและถ้ำที่ให้ร่มเงาทั้งสิ้น “ศิลปะถ้ำ” สร้างขึ้นเพื่อส่วนรวม คือ เป็น “ศิลปะชุมชน” (Communal Art) นั่นเอง โดยที่การสร้างสรรค์นั้นกำหนดโดยวัฒนธรรม (Culturally Conditioned) จากแรงบันดาลใจต่าง ๆ เช่น ความเชื่อทางศาสนา หรือพิธีกรรม
ตลอดจนสภาพแวดล้อมและการดำรงชีวิตของคนในชุมชนที่ศิลปินเป็นสมาชิกสังคม ศิลปะประเภทนี้สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ เพื่อใช้ในพิธีการ และ เพื่อ “ศิลปะ” เอง ๑) ศิลปะเพื่อพิธีการ
ทำขึ้นเนื่องในความเชื่อทางศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งมักจะมี “ข้อบังคับ” บางประการว่าทำอะไรได้ อย่างไร และทำอะไรไม่ได้ เช่น รูปแบบสีหรือวัสดุ เป็นต้น ๒) ศิลปะทั่วไป เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาที่เป็นศิลปินเลือกทำได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ เทคนิค วิธีการ หรือเรื่องที่ศาสนาประเพณีไม่ได้ห้ามไว้
ศิลปะดังกล่าวนี้ส่วนมากเป็นของที่สร้างมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยศิลปินนิรนาม แล้วขาดช่วงไปเลย เราจึงไม่รู้ความหมายของภาพส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ และด้วยเหตุที่มักพบตามถ้ำ เพิงผา หน้าผา หรือก้อนหินใหญ่ ๆ ตามภูเขา จึงเรียกรวม ๆ ไปว่า “ศิลปะถ้ำ” (Cave Art) ซึ่งทางวิชาการเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ศิลปะบนหิน” (Rock Art) นั่นเอง (ศิลปะถ้ำในอีสาน, ๒๕๓๑ : ๑๗-๑๘)
๑.๒ แหล่งศิลปะถ้ำ แหล่งศิลปะถ้ำ ในประเทศไทย พบศิลปะถ้ำแล้วทุกภาค คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ อีสาน พบมากที่สุด อาจเป็นเพราะภาค นี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึงหนึ่งในสามของประเทศ
นับตั้งแต่การค้นพบศิลปะถ้ำแหล่งแรกของอีสานเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๗ จนถึงปัจจุบัน ได้พบศิลปะถ้ำในอีสานถึง ๑๓๑ แหล่ง ใน ๙ จังหวัด คือ เลย อุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ สกลนคร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร อุบลราชธานี และนครราชสีมา (ศิลปะถ้ำในอีสาน, ๒๕๓๑ : ๑๘-๑๙ ) ศิลปะถ้ำสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดเลยที่ค้นพบปัจจุบันมีจำนวน ๙ แหล่ง ดังนี้
๑) ถ้ำคิววิว ตั้งอยู่ในท้องที่บ้านนาน้อย ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง ภาพเขียนสีที่ ปรากฏบนผนังหิน เป็นภาพสัญลักษณ์ ได้แก่ ภาพเส้นตรง เส้นโค้ง ลายเส้นหลักเป็นฟันปลา หรือสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ต่อกับภาพลายเส้นคู่ขนาน ภาพทั้งหมดใช้สีแดงในการเขียนภาพ ๒) ถ้ำผาฆ้อง ตั้งอยู่บ้านผาฆ้อง ตำบลผานกเค้า ภาพเขียนสีอยู่ในถ้ำมี ๒ แห่ง
ให้ชื่อว่าผาฆ้อง ๑ และผาฆ้อง ๒ ผาฆ้อง ๑ ภาพเขียนสีอยู่บนเพดานหน้าถ้ำ ภาพที่พบ “สุนัข” ภาพวัวครึ่งตัว ภาพคนยืนกาง แขน ภาพทั้งหมดเขียนด้วยสีแดง
ผาฆ้อง ๒ ภาพเขียนสีพบในถ้ำตรงทางเข้า มีภาพคน ๑ ภาพ ภาพสัตว์ ๒ ภาพ และ มีภาพสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภาพมือ ๑๑ ภาพ ภาพสัตว์รูปร่างคล้ายวัว ๓ ตัว เขียนแบบเงาทึบ ๑ ตัวลายเส้นโครงภายนอก ๒ ตัว และภาพลายเส้นรูปตาข่ายและลายเส้นคู่ขนาน ๓ เส้น ๓) ถ้ำมโหฬาร ในถ้ำนี้พบการเขียนสีจำนวน ๒ จุด คือ ถ้ำมโหฬาร ๑ จุดและถ้ำสูง ๑จุด
ถ้ำมโหฬารตั้งอยู่บ้านหนองหิน ตำบลหนองหิน กิ่งอำเภอหนองหิน ภาพเขียนสีด้วยสีแดงคล้ำบนพื้นหินสีเทาอ่อน ประกอบด้วยภาพคน ๗ ภาพ ภาพสัตว์ ๑๐ ภาพ จำพวกกระทิง ช้าง เลียงผา(เยียง) ไก่ป่า ถ้ำสูง อยู่ในถ้ำมโหฬาร ภาพเขียนด้วยสีแดงจาง ๆ บนพื้นหินสีชมพู และสีเทา ประกอบด้วยภาพสัตว์คล้ายม้าหรือกวาง
ภาพลายเส้นวงกลม ลายเส้นคด ๔) ถ้ำพระตั้งอยู่หมู่บ้านนาน้อย ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง ภาพเขียนสีอยู่บนเชิง ภูกระดึงทางทิศใต้ ชื่อว่า “ภูฮัง” ภาพที่พบในแหล่งภาพเขียนสีแห่งนี้มีภาพมือจำนวน ๓๖ ภาพ ภาพสัตว์ คือ ช้าง ภาพเส้นสัญลักษณ์มี ๗ ภาพ ได้แก่ภาพวงกลมเขียนด้วยเส้นทึบ ๑ วง ภาพวงกลมเขียนด้วยเส้นทึบ
ภายในมีภาพ ครึ่งวงรี และภาพที่ประกอบไปด้วยเส้นตรง เส้นโค้ง เส้นคู่ขนาน เส้นหยัก แต่ไม่สามารถจำแนกได้ว่าประกอบขึ้นเป็น รูปอะไร ภาพเขียนด้วยสีแดง ๕) ถ้ำลายแทง บ้านผากลางดง ตำบลผานกเค้า อำเภอภูกระดึง ภาพเขียนสีที่ถ้ำลายแทง นี้ภาพช้างเขียนอยู่หน้าถ้ำ สีที่ใช้เขียนมีสีแดงอมส้ม เป็นแหล่งภาพเขียนสีที่เขียนภาพอย่างน้อย ๒ ครั้ง
ทับรอยกัน เขียนเรื่องราวการล่าสัตว์ที่มีหมาช่วยล่า สันนิษฐานว่ากลุ่มชนนี้ตั้งชุมชนอยู่บนที่ราบและมีกฏระเบียบทางสังคมที่ใช้ ร่วมกัน ภาพทั้งหมดมี ภาพคน ๔๐ ภาพ ภาพสัตว์ ๑๔ ภาพ ภาพมือคน ๘ ภาพ ภาพเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ ๑๖ ภาพ จำนวนประมาณ ๗๔ ภาพ ๖) ถ้ำมือ บ้านผาน้อย ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง
ภาพเขียนที่ปรากฏบนผนังหินแบบ เพิงหมาแหงน ภาพที่ปรากฏบนผนังถ้ำนี้ จำแนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ ภาพมือ มีทั้งหมด ๒๐ ภาพ มีเทคนิคการทำภาพมือ ๒ วิธีด้วยกันคือ มือแบบทาบ และใช้สีทาฝ่ามือแล้วขูดสีขาวส่วนนอกเป็นลายเส้นโค้งลูกคลื่น
ภาพสัญลักษณ์ มีเพียง ๑ ภาพ เป็นภาพแบบเงาทึบ ไม่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นภาพ อะไร ๗) ถ้ำผาปู่ บ้านน้ำภู ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง ภาพที่ปรากฏอยู่บนเพิงผาปากถ้ำ เป็นภาพ เขียนด้วยสีแดงคล้ำ ภาพที่พบเป็นแบบสัญลักษณ์มีลักษณะการเขียนแบบโครงนอกก่อน แล้วระบายสีทึบลงไปอีกครั้ง
ภาพเขียนเป็นภาพสัญลักษณ์ รูปสามเหลี่ยม รูปโค้งคล้าย ๆ ทรงผมผู้หญิงงอนที่ปลาย (ภาพนี้คล้ายคน) รูปสีเหลี่ยมผืนผ้าระบายสีทับบางส่วน ๘) ภูถ้ำพระ บ้านกกดู่ ตำบลกกดู่ อำเภอเมืองเลย ลักษณะของแหล่งเป็นเพิงหินแกรนิต เกิดจากก้อนหินตั้งซ้อนกัน ภาพที่พบเป็นภาพลายเส้นสีแดง เป็นภาพสัญลักษณ์ คือ
๘.๑. ลายเส้นคู่ขนานคล้ายนิ้วมือ ๘.๒. ลายกากบาท ๘.๓. ลายหยักฟันปลาคู่ขนาน
๘.๔. ลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนต่อกัน ๔ ภาพ ๘.๕. ลายเส้นทึบคล้ายคน ๙) ถ้ำผาขาม บ้านนาดินดำ ตำบลนาดินดำ อำเภอเมืองเลย
ภาพเขียนคล้ายสีแดง เป็นภาพลาย เส้นวกวน ลายเส้นคล้ายรากไม้ ลายเส้นโค้งผสมกับตารางสี่เหลี่ยม คล้ายเส้นทางในแผนที่ ๑๐) ถ้าผาป่อง บ้านปวนพุ ตำบลปวนพุ อำเภอหนองหิน
จากผลของการศึกษาทางด้านโบราณคดีในเขตจังหวัดเลย เท่าที่ผ่านมานั้นได้มีการพบ โบราณ วัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เฉพาะเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานของเครื่องมือหิน และเศษภาชนะดินเผา ส่วนมากมีอายุ ประมาณ ๙,๐๐๐ ปี มาแล้ว ( DONN BAYARD, ๑๙๗๓-๑๙๗๕ : ๙๕-๑๑๓)
หลักฐานที่บ่งบอกว่าดินแดนแถบนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์อีกแหล่ง หนึ่ง คือ ใบเสมาหินขนาดใหญ่ ชนิดหินทรายทองเป็นพุทธศิลปะสมัยทวาราวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ อักษร ที่จารึกคืออักษรปัลลวะ หรืออักษรอินเดียใต้ ที่พบมากในประเทศไทยทุกภาคในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ อักษรจารึกทั้ง ๑๒ บรรทัดปรากฏอยู่ด้านข้าง ของใบเสมาหิน ที่มีรูปหม้อ แกะสลักบริเวณกลางหิน (ชิน อยู่ดี, ๒๕๑๐)
ปัจจุบันศิลาจารึกหลักนี้ อยู่ที่วัดพัทธสีมาราม บ้านบุ่งผักก้าม ตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย และกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุ ร่วมกับกลุ่มใบเสมาหินจำนวน ๓๙ หลักในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๑๐๘ ตอนที่ ๗๐ ลงวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔ คำจารึก-คำอ่าน เนื่องจากอักษรจารึกลบเลือนมากจึงไม่สามารถอ่านข้อความ
ส่วนใหญ่ได้เพียง ปรากฏ คำที่ชัดเจนอยู่บ้างเช่นมีคำว่า "ศรี" และคำว่า "มารคด" เป็นต้น เนื้อเรื่อง
เมื่ออักษรจารึกลบเลือนจึงไม่สามารถจะทราบเรื่องราว รายละเอียดทั้งหมดได้ พอที่จะสันนิษฐานคร่าว ๆ จากหลักฐานโบราณคดีประเภทใบเสมาหินประกอบได้ว่าบริเวณที่พบใบเสมาหินหากตี ความจาก รูปแบบ ศิลปกรรมและอักษรปัลลวะ ที่จารึกว่าเป็นศิลปะแบบทวารวดี ๒. ยุคประวัติศาสตร์ ธวัช ปุณโณทก กล่าวว่า
ในที่นี้จะกำหนดยุคประวัติศาสตร์อีสาน เมื่อมีการบันทึกเรื่องราวของชุมชน โดยไม่พิจารณาว่ากลุ่มชนที่ได้สร้างศิลาจารึกและโบราณสถานในสมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์อีสานนั้น เป็นเผ่าพันธุ์ใด ยุคประวัติศาสตร์ ปรากฏชัดเจนในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ร่วมสมัยกับสุโขทัย) บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนเหนือและลุ่มแม่น้ำอู (เมืองแถนและเมืองเชียงดง เชียงทอง) แต่ไม่พบหลักฐานที่พอเชื่อได้นอกจากตำนานเล่าสืบกันมา
ฉะนั้นนักประวัติศาสตร์จึงยอมรับการตั้งชุมชนของกลุ่มวัฒนธรรมไทย – ลาว แต่จากหลักฐานทางด้านโบราณคดีและศิลาจารึกแล้ว พบว่าวัฒนธรรมไทย –ลาว เข้ามามีอิทธิพลแทนที่วัฒนธรรมขอมโบราณโดยง่ายดาย แสดงให้เห็นว่าชาวท้องถิ่นนั้นคงไม่เป็นชุมชนที่เข้มแข็งทางวัฒนธรรมแต่อย่างใด วัฒนธรรมไทย – ลาวจึงเข้ามาแทนที่อย่างง่ายดาย จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่าชาวท้องที่ในแอ่งสกลนครนั้นคงเป็นเพียงชุมชนหัวหน้าเผ่าพันธุ์กระจัดกระจายไม่ได้รวมกันเป็นนครรัฐที่มั่นคง
และคงจะเป็นสังคมแบบบรรพกาลที่ไม่เหลือซากวัฒนธรรมของขอมสมัยพระนครอยู่ในสังคมนั้น ๆ เมื่อชุมชนกลุ่มไทย – ลาวขยายอิทธิพลทางการเมืองและชุมชนเข้ามาอยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ชนพื้นเมืองเริ่มรับวัฒนธรรมไทย – ลาวและก่อตัวเป็นสังคมเมือง สืบทอดวัฒนธรรมสมัยไทย – ลาวต่อมา ซึ่งมีขอบเขตตั้งแต่จังหวัดเลย (เมืองหล่ม เมืองเลย ปากเหือง เชียงคาน ด่านซ้าย) จังหวัดหนองคาย (เมืองเวียงคุก เมืองปากห้วยหลวง) จังหวัดอุดรธานี บริเวณอำเภอบ้านผือ อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดสกลนคร และจังหวัดนครพนม (เมืองโคตรบอง)
ฉะนั้นจึงพบว่าพงศาวดารลาวมักจะกล่าวถึงหัวเมืองที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ส่วนพงศาวดารไทยนั้นได้กล่าวถึงหัวเมืองสำคัญ ๆ ของล้านช้างเท่านั้นในสมัยอยุธยาแสดงว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐทั้งสองทางด้านการเมืองและการทูต หาได้กล่าวถึงหัวเมืองที่อยู่ในแอ่งโคราชของภาคอีสานแต่อย่างใดไม่ และเส้นทางติดต่อกันในสมัยอยุธยานั้นคงใช้เส้นทางผ่านเมืองนครไทย (อำเภอนครไทย) จังหวัดพิษณุโลก
ไปสู่เมืองด่านซ้ายและลงเรือตามลำน้ำหมันซึ่งเป็นลำธารเล็ก ๆ ไหลลงน้ำโขงบริเวณอำเภอเชียงคาน เช่นในสมัยพระไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้าง ได้สร้างความสัมพันธไมตรีกับอยุธยารัชสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ์เพื่อต่อต้านอำนาจพม่าที่กำลังแผ่เข้ามาในอาณาจักรล้านนาเชียงใหม่ ก็ใช้เส้นทางติดต่อผ่านอำเภอนครไทย และอำเภอด่านซ้าย เช่นกัน (กรมศิลปากร, ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔, ๒๕๐๔)
การสร้างบ้านแปงเมืองในอาณาบริเวณที่เป็นจังหวัดเลยทุกวันนี้มีประวัติการก่อตั้งที่เป็นเรื่องราวเฉพาะแต่ละท้องถิ่น แต่ละเมืองแยกจากกันอย่างค่อนข้างชัดเจนแต่จากหลักฐานทางด้านโบราณคดีและศิลาจารึกแล้ว พบว่าวัฒนธรรมไทย –ลาว เข้ามามีอิทธิพลแทนที่วัฒนธรรมขอมโบราณโดย ง่ายดาย แสดงให้เห็นว่า ชาวท้องถิ่นนั้น คงไม่เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง ทางวัฒนธรรมแต่อย่างใด วัฒนธรรมไทย–ลาวจึงเข้ามาแทนที่อย่างง่ายดาย
จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่าชาวท้องที่ในแอ่งสกลนครนั้นคงเป็นเพียงชุมชนหัวหน้าเผ่าพันธุ์กระจัดกระจายไม่ได้รวมกันเป็นนครรัฐที่มั่นคง และคงจะเป็นสังคมแบบบรพพกาลที่ไม่เหลือซากวัฒนธรรมของขอมสมัยพระนครอยู่ในสังคมนั้น ๆ เมื่อชุมชนกลุ่มไทย – ลาวขยายอิทธิพลทางการเมืองและชุมชนเข้ามาอยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน ชนพื้นเมืองเริ่มรับวัฒนธรรมไทย – ลาวและก่อตัวเป็นสังคมเมือง สืบทอดวัฒนธรรมสมัยไทย – ลาวต่อมา ซึ่งมีขอบเขตตั้งแต่จังหวัดเลย (เมืองหล่ม เมืองเลย ปากเหือง เชียงคาน ด่านซ้าย) จังหวัดหนองคาย (เมืองเวียงคุก
เมืองปากห้วยหลวง) จังหวัดอุดรธานี บริเวณอำเภอบ้านผือ จนถึงอำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดสกลนครและนครพนม (เมืองโคตรบอง) ฉะนั้นจึงพบว่าพงศาวดารลาวมักจะกล่าวถึงหัวเมืองที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น (กรมศิลปากร,๒๕๓๑ : ๘๐-๘๙.) ประวัติศาสตร์เมืองเลยหรือจังหวัดเลยในยุคต่าง ๆ
มีความหลากหลาย ในการศึกษา พบว่าพัฒนาการทางการเมือง การศึกษา การศาสนา วัฒนธรรมประเพณี เศรษฐกิจและสังคม จังหวัดเลย มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองสืบต่อกันมา แต่โบราณมีการพัฒนาท้องถิ่น จากชุมชนเป็นเมือง เช่น เมืองซ้ายขาว หรือเมืองซายขาวเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญทางด้านหนึ่งของล้านช้างปรากฏชื่อเมืองเป็นครั้งแรกในรัชกาล พระเจ้าฟ้างุ้ม (ช่วง พ.ศ. ๑๘๙๖ - ๑๙๓๖) (สำนักโบราณคดีและ พิพิธภัณ ฑสถานแห่งชาติที่ ๘ , ๒๕๔๓ : ๔๒)
เติม วิภาคย์พจนกิจ ได้กล่าวถึงเมืองนี้ว่า “บ้านทรายขาวยังปรากฎหลักฐานในประวัติศาสตร์ว่าเคยเป็นเมืองเก่า มาครั้งหนึ่ง มีหลักเมือง กำแพงเมืองปรากฎให้เห็นอยู่ทุกวันนี้ แม้ใน แผนที่ประเทศไทยเก่า ๆ สมัย มร.เจ.เอช.แมคคาธี (พระวิภาคภูวดล) เป็นเจ้ากรมแผนที่ ก็เขียนเมืองทรายขาว” (เติม วิภาคย์จนกิจ,๒๕๓๐:๓๑๙) นอกจากนี้พื้นที่ลุ่มน้ำเลยตั้งแต่บ้านทรายขาวจนถึงสบเลย เช่นบ้านท่าข้าม อำเภอเมืองเลย
บ้านธาตุอำเภอเชียงคาน ยังมีชุมชนดั่งเดิมอยู่ โดยเฉพาะที่บ้านท่าข้าม พบศิลาจารึกวัดห้วยห้าว (วัดร้าง) ริมฝั่งแม่น้ำเลย เป็นจารึกบอกย้ำอาณาเขต และการบูรณวัดห้วยห้าว (ดนุพล ไชสินธุ์. ๒๕๓๗ : ๘๐-๘๔) ปัจจุบันกรมศิลปากรได้สำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุเรียบร้อยแล้วในประกาศ ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๑๐๘ ฉบับที่ ๗๐ ลงวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๔
และปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเลย สถาบันราชภัฎเลย ทั้งหลักฐานโบราณวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นกล้องยาสูบ เศษเครื่องถ้วยชามจากการสำรวจของโครงการโบราณคดี เขื่อนผามอง หรือศิลาจารึกวัดห้วยห้าว ๒ หลักที่พบ ล้วนแสดงให้เห็นว่าวัดห้วยห้าวเป็นโบราณสถานที่สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (เติม วิภาคย์พจนกิจ,๒๕๓๐ : ๒๕-๒๗)
๓. ยุครัตนโกสินทร์ เมืองเลยมีประวัติความเป็นมาแน่ชัดอย่างเป็นทางการในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯให้พระยาท้ายน้ำไปสำรวจทำบัญชีไพร่สม เมื่อเดินทางขึ้นไปจนถึงเมืองลมหรือเมืองหล่มบาจาย (อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์) คงจะได้ทราบ กิตติศัพท์ถึงเมืองทรายขาวจากผู้คนในท้องถิ่น ด้วยชาวเมืองลมหรือ
เมืองหล่มเก่าผู้คนพูดสำเนียงเดียวกันกับผู้คนในเมืองทรายขาว ด้วยความสนใจจึงได้เดินทางข้ามภูเขาหลวงมาสำรวจ เห็นเมืองทรายขาวเป็นชุมชนใหญ่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น น่าที่จะได้รับการพิจารณาให้ตั้งขึ้นเป็นเมืองได้ แต่ทั้งนี้อาจจะมีสาเหตุอื่น เช่น เมืองทรายขาวเคยเป็นเมืองมาก่อน แต่ได้สิ้นสภาพความเป็นเมืองด้วยเหตุแห่งทุพภิกขภัย พระยาท้ายน้ำ ต้องเดินทางไปสำรวจจนถึงบ้านแฮ ซึ่งเป็นหมู่บ้านใหญ่มีผู้คนอยู่อาศัยหนาแน่น ทั้งยังมีความศรัทธาเชื่อมั่นต่อผู้คนในกลุ่ม และได้คัดเลือก
ท้าวคำแสนกับท้าวเหง้า สองพี่น้องเชื้อสายหลวงพระบาง ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าปกครอง พระยาท้ายน้ำ จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านแฮ ขึ้นเป็นเมือง เรียกว่า “เมืองเลย” ตามชื่อแม่น้ำเลย ท้าวคำแสนกับท้าวเหง้า สองพี่น้องได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นหลวง เป็นที่หลวงศรีสงคราม เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองเลยในชั้นต้น
หลวงศรีสงคราม (คำแสน) กับหลวงศรีสงคราม (คำเหง้า) ปกครองเมืองเลยไปจนสิ้นสมัย (๒๓๙๖-๒๔๑๖) เป็นเวลา ๒๐ ปี ต่อจากนั้นทางราชการจึงได้ส่ง หลวงราชภักดี (สนธิ์ฯ) ขึ้นมาทำการปกครองตามนโยบายของรัฐบาลโดยตรง (พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์ และภูมิปัญญา ของจังหวัดเลย,๒๕๔๒ : ๙๖-๙๗)
สำหรับเมืองเลยซึ่งขึ้นอยู่ในมณฑลลาวพวน (มณฑลอุดร) ได้มีอำเภอขึ้นอยู่ในปกครองครั้งแรกรวม ๓ อำเภอ คือ อำเภอกุดป่อง (อำเภอเมืองเลย) อำเภอท่าลี่ (พ.ศ.๒๔๓๒) และอำเภอนากอก ส่วนอำเภอนากอกที่อยู่ในเขตการปกครองของเมืองเลยนั้น เดิมอยู่ในแขวงไชยบุรีในปี พ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) เมื่อฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเอาดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงของประเทศไทยไปหมด และยังได้เข้ามายึดครอง เอาบริเวณแขวงไชยบุรีของไทย ที่อยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงไปอีก อำเภอนากอก ที่อยู่ในแขวงไชยบุรี
จึงตกเป็นของฝรั่งเศสด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว เมืองเลยจึงตั้งบ้านอาฮีที่อยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำเหืองของไทย ขึ้นเป็นอำเภออาฮี แทนอำเภอนากอก เป็นการชั่วคราว (อำเภอนากอก ปัจจุบันคือ บ้านนากอก แขวงไชยบุรี ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) ต่อมาเมื่อได้มีการแก้ไขการปกครองให้เป็นแบบเทศาภิบาลที่สมบูรณ์ ได้ยุบอำเภออาฮีลงเป็นตำบลอาฮีขึ้นอยู่ในการปกครองของอำเภอท่าลี่ ได้มีการโอนอำเภอต่าง ๆ
ให้ขึ้นอยู่ในการปกครองของเมืองเลย เช่น อำเภอด่านซ้าย เมืองพิษณุโลก อำเภอเชียงคาน จากเมืองพิชัย และยกฐานะแขวงวังสะพุงขึ้นเป็นอำเภอวังสะพุงโอนจากเมืองหล่มสัก เมืองเลยจึงมีอำเภอเกิดขึ้นในระหว่างนั้น รวม ๕ อำเภอ คือ อำเภอเมืองเลย อำเภอท่าลี่ อำเภอด่านซ้าย อำเภอเชียงคาน และอำเภอวังสะพุง ปัจจุบันจังหวัดเลยเป็น ๑ ใน ๑๙ จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี ๑๔ อำเภอ ๘๙ ตำบล ๙๑๖ หมู่บ้าน มี ๑
องค์การบริหารส่วนจังหวัด ๑ เทศบาลเมือง ๒๓ เทศบาลตำบล ๗๖ องค์การบริหารส่วนตำบล
|