สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีตรัสว่าพระมหาธรรมราชาไม่เสียแรงมีโอรสล้วนแต่เชี่ยวชาญกล้าหาญในศึกมิเคยย่อท้อการสงคราม ไม่เคยพักให้พระราชบิดาใช้เลยต้องห้ามเสียอีก และ หวาดกลัวพระราชอาญาของพระบิดายิ่งนัก จึงเตรียมจัดทัพหลวงและทัพหัวเมืองต่างๆ เพื่อยกมาตีไทย ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรเตรียมทัพจะไปตีกัมพูชาเป็นการแก้แค้นที่ถือโอกาสรุกรานไทยหลายครั้งระหว่างที่ไทยติดศึกกับพม่า พอสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบข่าวศึกก็ทรงถอนกำลังไปสู้รบกับพม่าทันที ทัพหน้ายกล่วงหน้าไปตั้งที่ตำบลหนองสาหร่าย
ฝ่ายพระมาหาอุปราชาทรงคุมทัพมากับพระเจ้าเชียงใหม่รี้พลรบ 5 แสน เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทรงชมไม้ ชมนก ชมเขา และคร่าครวญถึงพระสนมกำนัลมาตลอดจนผ่านไทรโยคลำกระเพิน และเข้ายึดเมืองกาญจนบุรีได้โดยสะดวก ต่อจากนั้นก็เคลื่อนพลผ่านพนมทวนเกิดลางร้ายลมเวรัมภาพัดฉัตรหัก ทรงตั้งค่ายหลวงที่ตำบลตระพังตรุ ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนพยุหยาตราทางชลมารค ไปขึ้นบกที่ปากโมก บังเกิดศุภนิมิต ต่อจากนั้นทรงกรีฑาทัพทางบกไปตั้งค่ายที่ตำบลหนองสาหร่าย เมื่อทรงทราบว่าพม่าส่งทหารมาลาดตะเวน ทรงแน่พระทัยว่าพม่าจะต้องโจมตีกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่ จึงรับสั่งให้ทัพหน้าเข้าปะทะข้าศึกแล้ว ล่าถอยเพื่อลวงข้าศึกให้ประมาท แล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงนำทัพหลวงออกมาช่วย ช้างพระที่นั่งลองเชือกตกมันกลับเขาไปในหมู่ข้าศึกแม่ทัพนายกองตามไม่ทัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรัสท้าพระมหาอุปราชากรำยุทธหัตถีจนมีชัยชนะ พระมหาอุปราชาขาดคอช้าง สมเด็จพระเอกาทศรถกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะแก่มังจาชโร
เมื่อกองทัพพม่าแตกพ่ายไปแล้วสมเด็จพระนเรศวรมาหาราชรับสั่งให้สร้างสถูปเจดีย์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระมหาอุปราชา เสด็จแล้วจึงเลิกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา เป็นอับดับจบเนื้อเรื่อง
ตอนที่ 1 "เริ่มบทกวี"
ยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่กำลังปกครองบ้านเมืองในสมัยของผู้ทรงนิพนธ์
ตอนที่ 2 "เหตุการณ์ทางเมืองมอญ"
พระเจ้านันทบุเรง กษัตริย์พม่าทรงทราบข่าวการสวรรคตของพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.2133) จึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชานำทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาด้วยคาดว่า สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถอาจวิวาทชิงราชสมบัติกัน เป็นโอกาสเหมาะที่จะทำศึก ในตอนแรกพระมหาอุปราชาทรงบ่ายเบี่ยงด้วยโหรหลวงทำนายว่าจะมีเคราะห์ถึงแก่ชีวิต แต่เมือพระเจ้านันทบุเรงบริภาษ จึงเกิดขัตติยมานะเสด็จทำสงคราม โดยพระเจ้านันทบบัเรงได้พระราชทานพรให้ชนะศึกและพระบรมราโชวาท ดังนี้
1. อย่าหูเบาใจเบา โดยฟังหรือดูอะไรอย่างผิวเผิน
2. อย่าทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่คิดถึงผู้อื่น
3. ให้เอาใจทหารให้มีกำลังใจฮึกเหิม กล้าหาญในการสู้รบเสมอ
4. อย่าไว้ใจคนขลาดและคนเขลา
5. รอบรู้ในการจัดกระบวนทัพ
6. รู้หลักพิชัยสงคราม
7. ให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้าสามารถ
8. พากเพียรไม่เกียจคร้าน
ตอนที่ 3 "พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี"
พระมหาอุปราชายกกองทัพมาถึงด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นด่านระหว่างพม่ากับไทย ก็ทรงขับทหารให้รุกเข้ามาในแดนไทย เมื่อพระมหาอุปราชายกทัพมาถึงตำบลพนมทวน เกิดลมเวลัมภาพัดฉัตรหัก โหรทำนายว่าลมนี้เกิดตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดยามเย็นจะดีพระมหาอุปราชาจะได้ชนะไทย พระมหาอุปราชาทรงฟังแล้วยังไม่เชื่อสนิท ทรงคร่ำครวญถึงพระบิดาว่า ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์ในการสงคราม พระบิดาจะได้ใครช่วยเหลือ ทางฝ่ายไทย เจ้าเมืองสิงห์บุรี สรรค์บุรี สุพรรณบุรี ก็ให้ชาวเมืองอพยพครอบครัวหนีไปอยู่ในป่า แล้วทำหนังสือมากราบทูลสมเด็จพระนเรศวรให้ทรงทราบข่าวศึก
ตอนที่ 4 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร"
ทางกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมราษฎรอยู่ร่มเย็นเป็นสุข พระองค์โปรดฯให้เตรียมทัพจะไปตีเขมร แต่ทรงทราบข่าวศึกพม่าจากทูตเมืองกาญจนบุรีจึงทรงระงับเรื่องการไปตีเขมร
ตอนที่ 5 "สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้พระศรีไสยณรงค์เป็นทัพหน้า พระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพหน้าไปยับยั้งข้าศึก ทั้งสองยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรีในชัยภูมิที่เรียกว่า สีหนาม
ตอนที่ 6 "สมเด็จพระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทัพ"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้หาฤกษ์ยามในการเคลื่อนทัพหลวง ญาณโยคโลกทีป โหรหลวงถวายพยากรณ์ว่า สมเด็จพระนเรศวรได้จตุรงคโชคคือ 1. โชคดี 2. วัน เดือน ปี แห่งการรบดี 3. กำลังทหารเข็มแข็ง 4. อาหารสมบูรณ์ และให้เสด็จเคลื่อนทัพจากกรุงศรีอยุธยาในวันอาทิตย์ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เดือนยี่ เวลา 8.30 นาฬิกา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จกรีธาทัพเรือจากอยุธยาไปขึ้นบกที่ปากโมก จังหวัดอ่างทอง เมื่อทรงพักแรมที่ปากโมกได้เสวยสุบินนิมิตเป็นเทพสังหรณ์ คือ เทวดามาบันดาลให้สุบินว่ามีน้ำท่วมมกาทางทิศตะวันตก พระองค์เสด็จลุยกระแสน้ำเชี่ยวไปปะทะจระเข้ใหญ่ สามารถฆ่าจระเข้ตาย น้ำที่ท่วมมานั้นก็เหือดแห้งไป โหรทำนายว่าพระองค์จะได้ทำยุทธหัตถีและชนะศึกครั้งนี้ เมื่อจะเสด็จกรีธาทัพบกจากปากโมก ขณะคอยฤกษ์งามยามดีก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุส่องแสงสว่างงดงาม ขนาดเท่าผลส้มเกลี่ยงลอยมาจากทิศใต้ และหมุนเวีรยนขวารอบกองทัพสามรอบแล้วลอยไปทางทิศเหนือ นับว่าเป็นศุภนิมิตที่ดียิ่ง
เมื่อได้ฤกษ์ยาม สมเด็จพระนเรศวรทรงช้างชื่อเจ้าพระยาไชยนุภาพ และสมเด็จพระเอกาทศรถทรงช้างชื่อเจ้าพระยาปราบไตรจักร เสด็จกรีธาทัพจากปากโมกถึงหนองสาหร่าย แล้วโปรดฯ ให้ตั้งค่ายทัพหลวงที่หนองสาหร่าย ต่อกับค่ายทัพหน้าในชัยภูมิที่เรียกว่า ครุฑนามตอนที่ 7 "พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทัพเข้าปะทะทัพหน้าของไทย"
พระมหาอุปราชาทรงใช้ให้กองลาดตระเวนมาสืบข่าวกองทัพไทย กองลาดตระเวนซึ่งมีสมิงอะคร้านเป็นขุนกอง สมิงเป่อปลัดทัพ กับสมิงซายม่วน มาสืบข่าวถึงหนองสาหร่ายเห็นกำลังกองทัพไทยมีกำลังเพียง 17-18 หมื่น แต่กองทัพพม่ามีถึง 50 หมื่นมากกว่าเกือบสามเท่า จึงรับสั่งให้กองทัพพม่ารีบเข้าโจมตีทัพไทยให้แตกพ่ายไป กองทัพพม่าออกเดินทางตั้งแต่ตีห้า มาปะทะทัพหน้าของไทย ซึ่งมีพลห้าหมื่นจัดทัพเป็นตรีเสนาเก้ากอง มีผังทัพดังนี้
กองหน้า ปีกซ้าย นายกองหน้า ปีกขวาเจ้าเมืองธนบุรี พระยาสุพรรณบุรี เจ้าเมืองนนทบุรี
กองหลวง ปีกซ้าย แม่ทัพ ปีกขวา
เจ้าเมืองสรรค์บุรี พระยาศรีไสยณรงค์ เจ้าเมืองสิงห์บุรี
กองหลัง ปีกซ้าย ปลัดทัพ ปีกขวา
เจ้าเมืองชัยนาท พระราชฤทธานนท์ พระยาวิเศษชัยชาญ
กองทัพหน้าของไทยต่อสู้ทัพพม่าอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่กำลังน้อยกว่าจึงสู้พลางถอยพลาง
ตอนที่ 8 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษายุทธวิธีเอาชนะข้าศึก"
ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้ทำพิธีเบิกโขลนทวารและตัดไม้ข่มนาม ก่อนจะเคลื่อนกองทัพหลวง ทรงได้ยินเสียงรบพุ่งจึงให้หมื่นทิพเสนาไปสืบข่าวทรงทราบว่าทัพหน้าไทยต้านทานพม่าไม่ได้ จึงโปรดฯ ให้ทัพหน่าล่าทัพมาโดยไม่รั้งรอเพื่อให้พม่าตามมาอย่างไม่เป็นขบวน และทัพหลวงของไทยจะได้โอบล้อมโจมตีทัพพม่าให้แตกพ่าย
ตอนที่ 9 "ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้เคลื่อนกองทัพหลวง ช้างทรงเจ้าพระยาไชยานุภาพและเจ้าพระยาปราบไตรจักรตกมันควาญช้างบังคับไม่อยู่ พาทั้งสองพระองค์และควาญช้างเข้าไปท่ามกลางข้าศึก
ตอนที่ 10 "ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย"
สมเด็จพระนเรศวรทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยทรงท้าพระมหาอุปราชาทำยุทธหัตถี ช้างทรงของพระองค์เสียที พระมหาอุปราชาจึงทรงฟันด้วยพระแสงของ้าว สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบและใช้พระแสงของ้าวรับอาวุธพระมหาอุปราชาไว้ทัน เมื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพได้ล่างงัดพลายพัทธกอ ช้างทรงของพระมหาอุปราชาให้เสียที สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง และสมเด็จพระเอกาทศรถก็สามารถฟันมางจาชโร พี่เลี้ยงพระมหาอุปราชาให้ขาดคอช้างได้ ควาญช้างสมเด็จพระนเรศวรคือนายมหานุภาพ และกลางช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถคือหมื่นภักดีศวรถูกปืนข้าศึกตายในสนามรบ ที่รอดชีวิตคือเจ้ารามราฆพซึ่งเป็นกลางช้างของสมเด็จพระนเรศวรและขุนศรีคชคงซึ่งเป็นควาญช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถ