บัตรเดบิตกรุงไทย มาสเตอร์การ์ด
ตอบโจทย์ทุกการกด ถอน โอน จ่าย ใช้ง่ายไร้กังวล
จุดเด่นผลิตภัณฑ์
ชำระค่าสินค้าแทนเงินสดกับร้านค้าทั่วโลก
ที่มีเครื่องหมาย Mastercard ตลอด 24 ชั่วโมง
ช้อปปิ้งออนไลน์อุ่นใจ
กับบริการ Mastercard ID Check
รูดปุ๊บ รู้ปั๊บ!
เช็คค่าใช้จ่ายทันทีผ่าน Krungthai NEXT
ทำธุรกรรมผ่านตู้ ATM ธนาคารอื่น
ฟรี!! เดือนละ 4 ครั้ง
สมัครบัตร
อัตราค่าธรรมเนียม
แรกเข้า | รายปี |
100 บาท | 200 บาท |
อัตราค่าธรรมเนียม
วงเงินทำรายการต่อวัน | ค่าธรรมเนียม |
ถอน | |
| ข้ามเขต รายการละ 15 บาท |
โอน | |
โอนเงินข้ามเขตที่ตู้ ATM กรุงไทย |
|
โอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารกรุงไทย ได้ไม่จำกัดวงเงิน | - |
โอนเงินระหว่างบัญชีกับธนาคารอื่น
| - |
โอนเงินรายย่อยระหว่างธนาคาร (ORFT)
| - |
ชำระสินค้าและบริการ | |
ตามยอดเงินคงเหลือในบัญชี | - |
ซื้อ-ขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิด | |
ซื้อ 5,000,000 บาท | - |
ขายคืน ตามยอดเงินคงเหลือในบัญชี | - |
รายละเอียดและเงื่อนไข
ข้อควรรู้
- การถอนหรือโอนเงินผ่านตู้ ATM สูงสุด 150,000 บาท/วัน
- ชำระค่าสินค้า หรือบริการผ่านเครื่อง EDC หรือช้อปปิ้งออนไลน์ สูงสุด 500,000 บาท/วัน
- หากต้องการเพิ่มหรือลดวงเงิน ติดต่อทุกสาขาของธนาคาร หรือ Krungthai Contact Center 02-111-1111
คุณสมบัติ
- อายุ 15 ปีบริบูรณ์
- เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือ Net Saving ขั้นต่ำ 500 บาท
- เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันขั้นต่ำ 10,000 บาท
- ไม่จำกัดรายได้ขั้นต่ำ
เอกสารขอทำบัตร
- บัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด ที่ยังไม่หมดอายุ หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ
- สมุดเงินฝากออมทรัพย์ หรือเลขที่บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน
ดาวน์โหลด
แนะนำสำหรับคุณ
23rd June 2017 บัตรเครดิต
ก่อนคิดจะทำบัตรเครดิตสักใบ หลายท่านอาจกำลัง ลังเล หรือสงสัยอยู่ว่าเราควรทำบัตรแบบไหนดี ระหว่าง VISA , MasterCard หรือ JCB และบัตรพวกนี้มันแตกต่างกันอย่างไร และใบไหนที่ดีที่สุด วันนี้เราจึงขออาสาพาไปทำความรู้จักกับ 3 บัตรยอดฮิตนี้ค่ะ
บัตร VISA , MasterCard , JCB คืออะไร?
บัตรทั้ง 3 ใบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงิน (Payment Gateway) ของบัตรเครดิต ส่วนหน้าบัตรเครดิตบ่งบอกถึงประเภทของบัตรเครดิตแต่ละใบ ที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงในระบบชำระเงินจากร้านค้าไปยังธนาคารต่างๆ ทั่วโลก ที่เปิดให้บริการบัตรเครดิต สรุปก็คือเมื่อเราทำบัตรเครดิตกับธนาคารที่เราสมัคร ธนาคารก็จะทำหน้าที่อนุมัติวงเงินให้แก่เรา โดยมีสัญลักษณ์ Payment Gateway แสดงอยู่บนหน้าบัตร ซึ่งบัตรเครดิต 1 ใบ ก็จะมีแค่ 1 เครือข่ายเท่านั้น โดยจะทำการตรวจสอบการชำระเงินเมื่อเรานำบัตรเครดิตไปใช้กับร้านค้าต่างๆทั่วโลก และเครือข่ายการชำระเงินนี้จะทำการส่งข้อมูลการชำระเงินไปให้กับธนาคารเจ้าของบัตรนั่นเอง ถึงแม้ว่าบัตรเครดิตที่เรารูดจะไม่ใช่ธนาคารเดียวกันกับเครื่องรูด บัตรของร้านค้า แต่ข้อมูลบัตรเครดิตของเราก็จะถูกส่งผ่านเครือข่ายเหล่านี้ไปยังธนาคารเจ้าของบัตรเช่นกัน ซึ่งในขณะนี้มีจะมี 7 แบรนด์คือ Visa, MasterCard, American Express, Discover, Diner’s Club, UnionPay และ JCB
แล้วเราควรจะเลือกสมัครบัตรประเภทไหนดีที่สุด?
สำหรับคำตอบต้องบอกเลยว่าไม่ตายตัว เป็นที่ความพอใจของแต่ละคนมากกว่า หากเราชอบไปเที่ยวญี่ปุ่น ชอบกินอาหารญี่ปุ่น บัตรประเภท JCB ก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการตรงนี้ได้มาก แต่ถ้าจะถามว่าเครือข่ายไหนที่คนนิยมใช้มากที่สุดแบบนี้ตอบได้ ซึ่งก็คือ VISA และ MasterCard นั่นเอง
- บัตรเครดิต VISA
บัตรเครดิต VISA เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายในการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตจากประเทศอเมริกาที่มีจำนวนผู้ใช้มากที่สุด ซึ่งจะมีทั้งบัตรเครดิต และบัตรเดบิต ทั้งนี้ VISA ได้นำเทคโนโลยีเพื่อการชำระเงินระดับโลก มาเชื่อมโยงการใช้เงินของผู้บริโภคและธุรกิจไว้ด้วยกัน จึงสามารถให้บริการทั้งธนาคารและภาครัฐกว่า 200 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้ได้ใช้สกุลเงินระบบดิจิตอลแทนเงินสด และเช็คร่วมกันได้อย่างคล่องตัว แต่ต้องบอกตรงนี้ไว้ก่อนว่า VISA ไม่ใช่ผู้ออกบัตรเครดิต เป็นแค่เพียงเครือข่ายการชำระเงินและส่งข้อมูลเท่านั้น ซึ่งตอนนี้มีร้านค้าที่รับบัตร VISA กว่า 28 ล้าน ร้านค้า และมีตู้ ATM ที่สามารถกดเงินได้กว่า 2 ล้านตู้ใน 200 ประเทศทั่วโลก
- บัตรเครดิต Master Card
สำหรับบัตร Master Card ก็เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายในการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตจากประเทศอเมริกาอีก เจ้าหนึ่ง โดยมีทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรพรีเพด เช่นกัน ซึ่งคุณสมบัติโดยรวมไม่มีอะไรแตกต่างจากบัตร VISA เลย ปัจจุบันมีร้านค้าที่รับบัตร Master Card กว่า 30 ล้าน ร้านค้าทั่วโลก
- บัตร JCB
สำหรับบัตร JCB (Japan Credit Bureau) เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรเครดิตจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันกำลังเข้ามาตีตลาดในไทยได้มากขึ้น ร้านค้าเปิดรับมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะใช้ในวงการการท่องเที่ยว อย่าง จองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม รถเช่า และร้านค้าจากญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทยสามารถสมัครได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา AEON และ KTC
ขอแถมให้อีก 1 ประเภท นั่นคือ
- บัตร UnionPay หรือ China UnionPay
บัตร UnionPay ก่อตั้งขึ้นในปี 2002 โดยความร่วมมือของธนาคารในประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันมีใช้ใน 141 ประเทศทั่วโลก สำหรับร้านค้าบ้านเราที่รับบัตร UnionPay ก็เช่น เซ็นทรัล, อิเซตัน, พารากอน, เอ็มโพเรียม, โรบินสัน, คิงพาวเวอร์, และร้านบูท เป็นต้น
สรุป ร้านค้าในประเทศไทยสามารถรับชำระได้ ทั้ง VISA, MasterCard โดย JCB เหมาะกับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ส่วน UnionPay จะเหมาะกับผู้ที่เดินทางไปประเทศจีน มาเก๊า และฮ่องกง
บ่อยๆ แต่ถ้าให้เรียงลำดับความนิยมในประเทศไทยจะเป็น VISA, MasterCard และ JCB ตามลำดับ
ข้อควรรู้เพิ่มเติมระหว่าง VISA กับ Master Card
ถึงแม้ว่าร้านค้าส่วนใหญ่จะรับทั้งบัตร Visa และ MasterCard แต่ทั้ง 2 บัตรนี้ก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง นั่นคือ
- มีบางครั้งเหมือนกันที่ผู้ถือบัตรต้องมีปัญหาในการชำระเงินเพราะร้านไม่รับบัตรค่ายที่ผู้ใช้ถืออยู่ อย่างเช่นบางร้านค้าในแคนาดาที่จะรับบัตร Visa แต่ไม่รับ MasterCard
- โปรโมชั่นทั้ง Visa และ MasterCard ต่างก็มีโปรชั่นแตกต่างกับไปตามบัตรแต่ละประเภท เช่น บัตร Visa classic จะมีโปรโมชั่นการเช่ารถให้ผู้ใช้ บัตร Visa Signature จะมีประกันการเดินทางและการใช้จ่ายให้ อีกทั้งเมื่อผู้ถือเข้าพักในโรงแรม Visa Signature Luxury Hotel Collection ยังสามารถอัพเกรดห้องได้ฟรี แถมมีบริการอาหารเช้า, อินเตอร์เนต และเช็คเอาท์สายได้ ส่วน MasterCard ก็มีโปรโมชั่นให้ผู้ถือบัตร World หรือ World Elite MasterCards เช่นกัน โดยเมื่อเข้าพักในโรงแรม MasterCards World Elite จะมีบริการอัพเกรดห้องฟรี, มีอาหารเช้า บริการอินเตอร์เนต และเช็คเอาท์สายได้เช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังมีโปรโมชั่นด้านอื่นๆ อีกไม่ว่าจะเป็น ช็อปปิ้ง กีฬา เอนเตอร์เทน และงานอีเวนท์ในเมืองต่างๆ อีกทั่วโลก