ในยุคสมัยบาโรค คีตกวีส่วนมากนิยมประพันธ์เลิกนิมยมการประพันธ์สไตล์ Polyphony และหันมาสนใจแบบ Monody คือในบทเพลงที่มีแนวทำนองขับร้องแนวเดียว ดำเนินทำนองและมีแนวสำคัญที่เรียกเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า Basso continuo ทำหน้าที่คลอเคลื่อนที่ตลอดเวลาประกอบจึงทำให้เกิดคอร์ดขึ้นมา
แต่ในยุคสมัยนี้ก็ยังไม่ได้เลิกประพันธ์เพลงแบบ polyphony ซะทีเดียว การประพันธ์แบบpolyphony ยังปรากฏอยู่ใน Fugue ,organ corale ,cantata
เพลงแบบ Homophony ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้บุกเบิกการประพันธ์เพลงแบบบรรเลงในยุคนี้คือ Vivaldi ส่วนโครงสร้างเพลงอื่นๆก็มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น มีสีสันเสียงมากขึ้น
ลักษณะของเพลงยุคบาโรค
1. การทำให้เกิดความขัดกัน (Contrast) ดัง-เบา เร็ว-ช้า บรรเลงเดี่ยว-บรรเลงร่วมกัน พบได้ใน Trio sonata ,Concerto grosso
2. คีตกวีส่วนใหญ่ไม่ได้เขียนเพลงบรรเลงอย่างครบสมบูรณ์เพราะว่าต้องการให้ผู้บรรเลงได้แสดงศักยภาพในการเล่นโดยใช้ไหวพริบปฏิภานหรือการ Improvisation ในแนวของตนเอง
คีตกวีในยุคบาโรค
1. Johann Sebastian Bach (J.S Bach)
2.George Federic Handel
3. Antonio Vivaldi
4.Johann Pachebel
Four seasons (winter) -Vivaldi
4. ยุคสมัยคลาสสิค (1750-1820)
ในสมัยนี้ดนตรีเริ่มแพร่หลายสู่ประชาชนมากขึ้น สถาบันศาสนาจึงไม่ใช่ศูนย์กลางของดนตรีอีกต่อไป ยุคนี้ถือเป็นยุคของดนตรีบริสุทธิ์ เพลงในสมัยนี้จึงเป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อการฟังโดยเฉพาะ ไม่ใช่การประพันธ์เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ส่วนใหญ่มักเป็นเพลงบรรเลง ใช้Polophony น้อยลง ใช้ Homophony มากขึ้น มีกฏเกณฑ์ในการแต่งเพลงที่เคร่งครัด มีการกำหนดจังหวะที่สม่ำเสมอกัน การเขียนทำนองเพลงมีการพัฒนาให้มีหลักเกณฑ์และความสมดุล
เพลงที่นิยมมากที่สุดคือ Symphony
ลักษณะของเพลงในยุคคลาสสิค
1.ลักษณะเปลี่ยนไปจากยุคบาโรคโดยสิ้นเชิงคอืไม่นิยมการประสานเสียง และหันมานิยมการเน้นทำนองหลักโดยมีแนวเสียงอื่นประสานเพื่อความไพเราะมากยิ่งขึ้น
2. มีการประสานเสียงแบบ Basso continuo
3. ผู้ประพันธ์นิยมเขียนโน้ตทุกแนวไว้ ไม่มีการเว้นว่างเพื่อการ improvisation
4. ศูนย์การของดนตรียุคคลาสสิคตอนนั้นคือเมือง แมนฮีม และกรุงเวียนนา
คีตกวีในยุคคลาสสิค
1. Wolfgang Amadeus Mozart
2. Ludwig Van Beethoven
3. Franz Joseph Haydn
Fur elise - Mozart
5. ยุคสมัยโรแมนติก (1820-1900)
ยุคนี้ถือเป็นยุคทองของดนตรี มีการแสดงคอนเสิร์ตต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผย นักดนตรีมีโอกาสแสดงอารมณ์ในการบรรเลงมากขึ้น ดนตรีในยุคนี้จึงไม่ค่อยได้คำนึงถึงรูปแบบและความสมดุลแต่จะเน้นเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ ความรัก ความโกรธ ความเศร้า หรือความกลัว นอกจากนี้ยังนิยมเขียนเพลงเพื่อบรรยายธรรมชาติ เรื่องความฝันของตนเอง เพลงที่มีการเขียนเพื่อบรรยายธรรมชาติเรียกว่าดนตรีพรรณา (Descriptive music)
ความแตกต่างระหว่างดนตรีคลาสสิคและดนตรีโรแมนติก
คลาสสิค โรแมนติก
เน้นรูปแบบที่แน่นอน เน้นเนื้อหา
เน้นความมีเหตุผลเกี่ยวข้องกัน เน้นอารมณ์
มีแนวความคิดแบบ ภววิสัย มีแนวความคิดแบบอัตวิสัย
ลักษณะของดนตรียุคโรแมนติก
1. คีตกวีมีีแนวความคิดเป็นของตัวเอง แสดงออกถึงความรู้สึกอย่างมีอิสระ ไม่จำเป็นต้องทำตามแบบแผน
2. อารมณ์และจินตนาการเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงาน
3. ลักษณะภายในองค์ประกอบของดนตรี
- ทำนองเน้นความรู้สึกและอารมณ์ ความยาวของประโยคเปลี่ยนแปลงได้ไม่จำกัด
- การประสานเสียงใช้คอร์ด 7,9
- Chromatic chord มีบทบาทสำคัญ
- ความดังเบาชัดเจน
คีตกวีในยุคโรแมนติก
1. Federic Chopin
2.Robert Schumann
3. Johannes Brahms
4. Felix Mandelssohn
5. Piotr Ilyich Tchaikovsky
Polonaise in A flat major - Chopin
6. ยุคศตวรรษที่ 20 (หลังจาก1900)
ในยุคสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงและมีการพัฒนาหลายๆด้าน ทำให้รูปแบบของดนตรีเปลี่ยนไป คีตกวีก็พยายามหาสิ่งใหม่ๆและทฤษฎีใหม่ๆทำให้เกิดดนตรีหลายรูปแบบ
ลักษณะของดนตรียุคศตวรรษที่ 20
1. เนื่องจากมีการพัมนาและเเปลี่ยนแปลง และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ส่วนประกอบของดนตรีจึงซับซ้อนมากขึ้น แต่ยังยึดรูปแบบของดนตรีคลาสสิคอยู่
2. เพลงในยุคสมัยนี้ประพันธ์ขึ้นมาเพื่อบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี Electronic ที่มีเสียงต่างออกไปจากเตรื่องดนตรี Acoustic