ในวันที่ความรักเดินทางมาถึงทางตัน คุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความทุกข์และปัญหา แต่ก็ไม่กล้าแยกทางกันเพราะคิดว่า อยากให้ลูกมีทั้งพ่อและแม่อยู่พร้อมหน้ากัน ชุดความคิดเหล่านี้อาจดีในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเคลียร์ปัญหากันลงตัว และกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ แต่หากปัญหานั้นยากเกินแก้ การ “ทนเพื่อลูก” อาจเป็นการทำร้ายลูกมากกว่า
Happy Mom.Life ไม่ได้สนับสนุนการหย่าร้าง แต่หากมันเดินไปกันจนสุดทางแล้วจริงๆ การหย่าหรือแยกทาง อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับบางครอบครัว คุณอาจไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับความทุกข์ไปทั้งชีวิตเพื่อลูก ในเมื่อมีทางออกที่ดีกว่าสำหรับทุกฝ่ายให้คุณเลือก…
เพราะเด็กที่โตมาท่ามกลางความขัดแย้ง มักมีความทุกข์ใจกว่าพ่อแม่หย่าร้าง... คุณพ่อคุณแม่อาจรักและปรารถนาดีต่อลูก อยากให้ลูกได้อยู่ในครอบครัวที่มีคุณพ่อคุณแม่พร้อมหน้ากัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นักจิตวิทยายืนยันว่า เด็กที่โตมาท่ามกลางความขัดแย้งในครอบครัวนั้นทุกข์ใจมากกว่าเด็กที่พ่อแม่แยกทางกันโดยสมบูรณ์แล้ว
เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ที่เด็กๆ จะเกิดความทุกข์เมื่อได้รู้ความจริงว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวได้ แต่หากคุณพ่อคุณแม่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูก ไม่ทำให้ลูกรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง หรือขาดความรักจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ความทุกข์นั้นก็จะบรรเทาลงได้มากเลยทีเดียวค่ะ
"หากคุณพ่อคุณแม่ไม่มีความรักต่อกันหรือยู่ร่วมกันได้แล้ว
ลูกย่อมเป็นทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถบรรเทาความทุกข์ของลูกได้
ด้วยความเข้าใจและการวางตัวที่ดีต่อกัน"
อย่าลืมว่า แม้สถานะความเป็นสามี ภรรยาจะสิ้นสุดลง แต่ความเป็นคุณพ่อคุณแม่นั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คุณจึงยังต้องรับผิดชอบหน้าที่ร่วมกันไปให้จนสุดทาง โดยคุณพ่อคุณแม่ที่ตัดสินใจแยกทางกัน อาจต้องคำนึงถึงหน้าที่ความเป็นพ่อแม่ และปรับใจให้เป็นครอบครัวในอีกรูปแบบดังนี้ค่ะ
1. เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน
เมื่อคุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจสิ้นสุดสถานะสามี ภรรยา คุณพ่อคุณแม่อาจต้องวางตัวใหม่ให้เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน โดยมีหน้าที่หลักคือการเลี้ยงลูกร่วมกัน ประสานงานเป็นทีมเวิร์ก ให้คำปรึกษากันในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ เช่น ค่าใช้จ่าย การเลือกโรงเรียนให้ลูก ฯลฯ และรับรู้รายละเอียดต่างๆ ที่ควรรู้ร่วมกัน เช่น โรคประจำตัวของลูก หรือยาที่ลูกต้องกินให้ตรงเวลา
2. ใช้เวลาร่วมกันในบางโอกาส
คำว่าครอบครัวในความหมายของเด็กคือการมีคุณพ่อคุณแม่อยู่พร้อมหน้ากัน ดังนั้นคุณจึงอาจต้องหาเวลามาอยู่ด้วยกันบ้างในบางโอกาส เช่น วันเกิดของลูก วันปีใหม่ เพื่อให้เด็กได้รู้สึกว่า เขายังมีความสำคัญ และมีครอบครัวที่เขารักอยู่กับเขาเสมอ แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะแยกทางกันก็ตาม
3. บอกลูกตามตรงถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรโกหกลูกอย่างให้ความหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม แต่ให้อธิบายให้ลูกเข้าใจว่า คุณพ่อคุณแม่มีความจำเป็นที่ต้องแยกกันอยู่ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของคุณพ่อคุณแม่ ไม่ใช่ความผิดของลูกรัก โดยบอกลูกถึงลักษณะการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น คุณพ่อจะมาเจอลูกทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และควรทำตามนั้นเสมอ
แม้พ่อแม่จะเลิกกัน ลูกก็ยังมีครอบครัวได้
4. ไม่ต่อว่าอีกฝ่ายให้ลูกฟัง
ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะแยกทางกันด้วยเหตุผลใดก็ตาม การต่อว่าอีกฝ่ายให้ลูกฟังไม่ใช่เรื่องดีเลยค่ะ เพราะอาจทำให้ลูกเกลียดพ่อ หรือเกลียดแม่ จนกลายเป็นปมด้อยได้ อย่าเอาปัญหาของผู้ใหญ่ไปลงที่เด็ก เพราะคนที่เสี่ยใจและได้ผลกระทบมากที่สุดน่าจะเป็นตัวลูกเอง
5. อย่าใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น
คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นอีกฝ่าย เช่น ใช้ลูกไปเป็นก้างขวางคออดีตคนรักกับแฟนใหม่ หรือให้ลูกสืบเรื่องราวของอีกฝ่ายเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง เพราะอาจทำให้ลูกรู้สึกไม่ดีได้ และวิธีการนี้ มีแต่จะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมากกว่า
6. ไม่เอาปัญหาไปลงที่ลูก
ต่อให้การเลิกรากันจะทำให้คุณเสียใจมากแค่ไหน ก็ไม่ควรเอาอารมณ์ร้ายๆ โศกเศร้าเสียใจไปลงที่ลูก ระบายกับลูก หรือต่อว่าลูก เพราะเด็กไม่มีความผิดอะไร และเด็กๆ นั้นจิตใจบอบบางกว่าที่คุณคิดมากนัก คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลมากๆ ค่ะ
แม้ว่าการมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบจะเป็นความฝันของทุกๆ คน แต่การมีครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน โดยใช้ความเข้าใจประคองความสัมพันธ์ต่อได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายเกินไปนัก เด็กๆ ย่อมค่อยๆ ปรับตัว ทำความเข้าใจได้ โดยอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่ทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอนค่ะ
เป็นหัวเรื่องที่โหดร้ายสำหรับผู้หญิงเราอยู่เหมือนกันนะคะ คนเขียนขออกตัวก่อนว่า ระหว่างหาข้อมูลเขียนเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัว เจอหัวข้อนี้เข้า ถึงกับนั่งเศร้าและทบทวนอยู่พักหนึ่งว่า เรื่องแบบนี้ก็คงเกิดขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวัน ในเมื่อทุกอย่างบนโลกเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา นับประสาอะไรกับหัวใจและความสัมพันธ์ของคน แต่ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับผู้หญิงและภรรยาอย่างเราคือ ถ้าวันนึงผู้ชายที่คุณรัก สามีและพ่อของลูกคุณตอบตัวเองได้ว่าหมดรักคุณแล้ว ทนเพื่ออะไร สิ่งที่ต้องทำต่อไปคืออะไรล่ะ! สามีที่รัก ถ้าวันนึงคุณตอบตัวเองได้ว่าหมดรักภรรยาคุณจะทนเพื่อลูกมั๊ยหรือเลิกกันไปเลย ??? ภรรยาอย่างพวกเราอยากรู้
# ลูกคือสิ่งยึดเหนี่ยวและผูกพันได้จริงหรือ
สำหรับคู่ไหนที่ตามที่คิดว่า จะอดทนกับความรักที่ไม่เหลืออยู่แล้ว เพื่อลูก อยากให้ลองมองในอีกมุมว่า ลูกคุณรับได้ไหมถ้าพ่อแม่อยู่ด้วยกันแต่มึนตึงกัน ทะเลาะกัน หรือเฉยเมย จนเหมือนคนอื่นคนไกล แต่ในขณะเดียวกัน ลูกก็ไม่ได้อยากให้พ่อแม่แยกทางกันด้วยเด็กที่พ่อแม่อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้มีความรักต่อกันให้เห็น ยังทะเลาะกันทุกวัน อาจจะไม่ต่างกับการที่พ่อแม่แยกทางกันเลยก็เป็นได้ สิ่งที่ยังเหลืออยู่มันก็แค่ความรู้สึกว่าพ่อแม่รักลูกที่สุด แต่พ่อแม่ไม่ได้รักกัน แต่เรื่องนี้ไม่มีคำตอบที่ตายตัว แล้วแต่ว่าบ้านไหนตกลง
# หรือมีคนใหม่ไม่ใช่หมดรัก หรือหมดรักแล้วมีคนใหม่
ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็ตาม คนที่กล้าสามารถนอกใจกันได้ แปลว่ารักกันไม่เพียงพอ หรือมีบางอย่างในความสัมพันธ์ที่มันไม่ลงตัว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามถ้าอีกฝ่ายตัดสินก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับให้ได้ แน่นอนว่ามันดูเห็นแก่ตัวกับอีกฝ่ายที่ยังรักอยู่ แต่การคงความสัมพันธ์ไว้ ก็เหมือนหลอกลวงอีกฝ่ายเช่นกัน ในฐานะภรรยาคนหนึ่งแถมมีลูกด้วยคุณจะเจ็บปวดและเสียใจ แต่เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น
# ผู้หญิงเราต้องรู้อาการแบบนี้สามีหมดรักแล้ว
- เมื่อบ้านเป็นแค่ที่พักแรม เมื่อสามีของคุณพยายามที่จะใช้เวลาอยู่บ้านให้น้อยที่สุด และเลือกที่จะทำงานของเขาให้มากที่สุด โดยไม่รู้สึกตื่นเต้นที่จะต้องกลับบ้านให้ตรงเวลา หรือเป็นเพราะมีความรู้สึกว่ากลับบ้านมาแล้วต้องเจอความเบื่อหน่าย นี่อาจเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันง่อนแง่น
- คุณคุยกันน้อยลง คุณเริ่มสังเกตเห็นว่ามื้ออาหารเย็นของพวกคุณนั้น ได้ถูกความเงียบปกคลุมจนสามารถที่จะได้ยินเสียงพัดลมแทนเลยทีเดียว และเมื่อต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบโดยไม่ได้เอ่ยปากพูดคุยกันเลย
- สามีให้ความสนใจกับ ไลน์ เฟสบุค หรือโทรศัพท์มากกว่าคุณ ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าสามีหมกหมุ่นอยู่กับ สมาร์ทโฟน มากกว่าตัวคุณ หรือใช้มันเป็นเครื่องหลบหนีหลังจากที่ทะเลาะกัน เพื่อไม่ให้เผชิญหน้ากับคุณ นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ได้ว่าชีวิตคู่กำลังอยู่บนขอบเหวแล้วล่ะ
- ไม่ออกความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับตัวคุณ วันเวลาที่เคยเอาใจใส่และแสดงความคิดเห็นในทุกสิ่งทุกอย่างของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า แต่งตัว มันผ่านไปแล้ว ถ้าตอนนี้สังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่คุณถามหรือแต่งตัวเซ็กซี่น่ารักขนาดไหน สามีกลับไม่มีคำตอบให้หรือแสดงท่าทีว่าเฉย ๆ แสดงว่าสิ่งนี้ก็ไม่มีผลอะไรกับเขาเลย
- มีการโต้เถียงกันน้อยลงถ้ารู้สึกว่าสามีมีข้อโต้แย้งกันน้อยลง คุณต้องเริ่มกังวลบ้างแล้วล่ะ มันอาจจะเป็นสัญญานของการดื้อเงียบ อันเนื่องมาจากเขาเริ่มไม่มีความสุขกับความสัมพันธ์นี้ ในขณะที่คุณอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องทีดี ที่สามีไม่มาโต้เถียงทะเลาะด้วย แต่จริง ๆ แล้วอาจหมายความว่าเขาไม่ได้สนใจคุณเหมือนเคยก็ได้
- ไม่มีความกระตือรือร้นในเรื่องเซ็กส์ นี่อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนว่าชีวิตการแต่งงานของคุณกำลังมีปัญหาโดยธรรมชาติแล้วไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะปฏิเสธการมีเซ็กส์ ถ้าสามีทำแบบนี้ขึ้นมา จำเป็นอย่างมากที่คุณต้องพึงระวังและปรับเปลี่ยนทุกสิ่งก่อนที่จะสายไป
ถ้าคุณไม่พร้อมจะรักหรืออยู่กับใครไปตลอดชีวิต อย่าแม้แต่คิดจะแต่งงานหรือผูกพันกับใครจนมีลูก!
สำหรับผู้ชายหรือแม้แต่ผู้หญิงอย่างเราเองก็ตามค่ะ ถ้าคุณไม่พร้อมจะรักหรืออยู่กับใครไปตลอดชีวิต อย่าแม้แต่คิดจะแต่งงานหรือผูกพันกับใครจนมีลูก และบางอย่างเมื่อเลือกแล้วเราเดินกลับหลังไม่ได้ ไม่ใช่หมดรักแล้วจะเดินจากกันไป มันมีเหตุผลทางสังคม และสำนึกอีกมากมายที่เราต้องรับผิดชอบ แต่ลึกๆ แล้วคนเขียนยังเชื่อว่า ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย คงไม่มีใครแต่งงานกันทั้งๆที่รู้ว่าจะไม่อยู่ด้วยกันตลอดไป สิ่งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ บางทีก็อธิบายยาก ไม่ต้องโลกสวย ไม่มองโลกในแง่ร้าย แต่ขอให้มองทุกอย่างที่เป็นไปตามความเป็นจริง คำว่า "ตลอดไป ไม่มีจริง” เป็นสิ่งที่ต้องทำใจค่ะ ขอให้ทุกครอบครัวโชคดีและมีความสุขค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
5 เรื่องต้องห้าม ถ้าไม่อยากให้สามีนอกใจ ภรรยาต้องไม่ทำตัวแบบนี้
สามีไม่ยอมทำการบ้าน สาเหตุเเละการเเก้ไข
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!