จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หม้อหุงข้าว เป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับหุงข้าว เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น หม้อหุงข้าวที่เก่าแก่ที่สุด เรียกว่า คามาโดะ มีมาตั้งแต่ยุคสมัยโคฟุน ค.ศ. 300-710 คามาโดะเป็นเตาดินเสริมด้วยอิฐหักเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทนทานต่อความร้อน ใช้ฟืนในการหุงต้ม นอกจากใช้หุงข้าวแล้วก็ยังนำมาต้มซุปถั่ว แต่เคลื่อนย้ายไม่ได้ ต่อมาสมัยนารา-เฮอัน ราวปี ค.ศ.710-794 หม้อหุงข้าวพัฒนามาเป็น โอกิ-คามาโดะ สร้างขึ้นให้ใช้งานกลางแจ้ง และมีภาชนะแยกส่วนสำหรับบรรจุอาหารที่เรียกว่าฮากามะ สำหรับหย่อนลงในหลุมที่ด้านล่างมีกองฟืนสำหรับหุงต้ม ภายหลังมีการประดิษฐ์ภาชนะบรรจุข้าวสำหรับหุงโดยเฉพาะ มีลักษณะเป็นทรงรีทำด้วยโลหะ เรียกว่า โอกามา เรียกหม้อหุงข้าวชนิดนี้ว่า มูชิ-คามาโดะ
เริ่มมีการทดลองผลิตหม้อหุงข้าวไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ในช่วงปลายยุคสมัยไตโช กลางทศวรรษ 1920 ต่อมาปลายทศวรรษ 1940 บริษัทมิตซูบิชิ อิเลคทริก ผลิตหม้อหุงข้าวที่มีหม้อและขดลวดนำความร้อนอยู่ภายใน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงที่สุดกับหม้อหุงข้าวในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่สะดวกสบายนัก ยังไม่มีระบบอัตโนมัติ ภายหลังบริษัทมัตซูชิตะและโซนี่ผลิตหม้อหุงข้าวออกจำหน่าย แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สตรีญี่ปุ่นต้องใช้แรงงานในการสงครามด้วย ความสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลาในการหุงข้าวจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ในวันที่ 10 ธันวาคม 1956 บริษัทโตชิบานำหม้อหุงข้าวอัตโนมัติออกวางจำหน่าย 700 ใบ ประสบความสำเร็จมาก โตชิบาเริ่มผลิตหม้อหุงข้าวอีก 200,000 ใบ ในเวลาเพียง 1 เดือน อีก 4 ปี ต่อมาหม้อหุงข้าวเริ่มแพร่หลายไปเกือบครึ่งประเทศ หม้อหุงข้าวของโตชิบานี้ใช้เวลาเพียง 20 นาที มี 2 ชั้น ชั้นนอกสำหรับบรรจุน้ำ ส่วนชั้นในสำหรับบรรจุข้าว รูปแบบนี้ใช้อยู่นานถึง 9 ปี จึงเปลี่ยนพัฒนามาเป็นหม้อหุงข้าวในยุคปัจจุบัน
หม้อหุงข้าวแบบใช้หม้อสองชั้นที่ โตชิบา ผลิตออกมาในปีค.ศ.1956 และเป็นที่นิยมในเวลานั้น ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะหุงข้าวได้เสร็จสมูรณ์และใช้ไฟค่อนข้างมาก ราวช่วงกลางยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1960 หม้อหุงข้าวแบบนี้จึงเสื่อมความนิยมลง และถูกแทนที่ด้วยหม้อหุงข้าวแบบหม้อชั้นในใบเดียว อันเป็นแบบที่มีใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยนั้นผู้ผลิตบางรายก็เคลือบสารกันข้าวติดหม้อเพื่อง่ายในการทำความสะอาด
เนื่องจากข้าวที่หุงเสร็จะเย็นลงค่อนข้างเร็ว ในปีค.ศ. 1965 บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นชื่อ Zojirushi ก็ได้ผลิตหม้อหุงข้าวแบบที่มีระบบอุ่นในตัวออกวางจำหน่ายครั้งแรกของโลก สามารถขายได้ถึง 2,000,000 ใบต่อปี และบริษัทผู้ผลิตรายอื่นก็หันมาใช้ระบบนี้เช่นกัน ซึ่งระบบอุ่นนี้โดยทั่วไปจะอุ่นได้อย่างต่ำ 24 ชั่วโมง ซึ่งมีประโยชนืในการหยุดยั้งการเติบโตของแบ็คทีเรียบางประเภท ซึ่งมีผลทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ
และในช่วงยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เมื่อ ไมโครโพรเซสเซอร์ เข้ามามีบทบาทในเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนมากขึ้น มันก็ถูกนำมาใช้กับหม้อหุงข้าวเช่นกัน โดยเป็นจุดเริ่มต้นของหม้อหุงข้าวอัตโนมัติที่สามารถตั้งโปรแกรมการหุงได้หลากหลายและละเอียดมากขึ้น ในเรื่องการตั้งเวลาหุง ชนิดของข้าวที่หุง และการควบคุมอุณหภูมิในการหุงแบบอัตโนมัติ บางรุ่นที่ราคาสูงก็มีระบบนึ่งข้าวหรืออุ่นข้าวด้วยไอน้ำในตัว
ในช่วงยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ประเทศจีนก็เริ่มผลิตหม้อหุงข้าวราคาถูกที่มีคำสั่งการทำงานแค่ระดับพื้นฐานออกมาเป็นจำนวนมากและส่งขายไปหลายประเทศทั่วโลก ส่วนผู้ผลิตจากทางประเทศญี่ปุ่นจะแข่งขันในตลาดส่วนนี้ไปที่เรื่องของคุณภาพผลิตภัณฑ์และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
และในช่วงยุคคริสต์ทศวรรษที่ 2000 หม่อหุงข้าวราคาแพงระดับ High-end ก็ออกสู่ตลาดมากขึ้นและกลายเป็นที่สนใจมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคมากขึ้น โดยหม้อหุงข้าวประเภทนี้วัสดุที่ใช้ทำหม้อภายในจะไม่ได้ทำจากวัสดุประเภทโลหะ เพื่อให้เกิดการทำความร้อนในรูปแบบของรังสี far-infared ซึ่งมีผลในการปรับปรุงรสชาติและคุณภาพของข้าวที่หุงสุก ในปี ค.ศ.2006 บริษัท มิตซูบิชิ ก็ผลิตหม้อหุงข้าวราคาแพงระดับ High-end ออกมารุ่นหนึ่ง ที่ตัวหม้อภายในถูกตั้งชื่อว่า Honsumigama ซึ่งผลิตาจากคาร์บอนบริสุทธิ์ที่ขึ้นรูปด้วยมือ ทำงานร่วมกันกับการเหนี่ยวนำความร้อน ซึ่งจะสร้างความร้อนได้ละเอียดและมีประสิทธิภาพมากกว่า ออกวางจำหน่ายด้วยราคา 115,500 เยน (1,400 ดอลลาร์สหรัฐ) สามารถขายได้ 10,000 ใบ ภายในเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่เริ่มออกจำหน่ายครั้งแรก เป็นหม้อหุงข้าวที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทหม้อหุงข้าวระดับ High-end หม้อหุงข้าวประเภทนี้จะมีวัสดุที่ใช้ทำตัวหม้อภายในหลากหลายรูปแบบ ทั้งทองแดงบริสุทธิ์ เซรามิกผสมเหล็ก บ้างก็มีการเคลือบเพชร
บริษัทผู้ผลิตหม้อหุงข้าวหลายรายต่างค่อนข้างจริงจังและทุ่มเทในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งหม้อหุงข้าวที่หุงข้าวออกมาได้ดีที่สุด ทั้งในเรื่องรสชาติและรูปลักษณ์ของข้าวที่ผ่านการหุงจนสุก
มีหม้อหุงข้าวผลิตออกมาราว 85 ล้านใบในปี ค.ศ.2005 ส่วนใหญ่ผลิตในลประเทศจีน เกาหลีใต้ และประเทศญี่ปุ่น และ 70% ของหม้อหุงข้าวในปัจจุบันผลิตในประเทศจีน
อ้างอิง[แก้]
- หม้อหุงข้าว คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
3.หลักการทำงานของหม้อหุงข้าวไฟฟ้า
เมื่อกดสวิตช์ในการหุงข้าวแล้วคานบังคับจะดันสปริงขึ้นไปแท่งแม่เเหล็ก ที่อยู่ทางด้านล่างของสปริงจะดูดแท่งเหล็กเฟอร์ไรต์ที่อยู่ด้านบนของสปริง ทำให้หน้าสัมผัสติดกันมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหน้าสัมผัสเข้าสู่วงจรหุงและแผ่นความร้อน ทำให้แผ่นความร้อนจะร้อนขึ้นเรื่อยๆและส่งผ่านความร้อนไปยังหม้อชั้นในและข้าวที่อยู่ในหม้อ |
เมื่อข้าวสุกได้ปริมาณน้ำที่เราเติมพอดีหุงข้าวสวยน้ำจะกลายเป็นไอน้ำ และกลายเป็นไอดงอยู่ในหม้อชั้นในซึ่งจะทำให้ข้าวสุกและอุณหภูมิสูงมากยิ่งขึ้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นมากๆนี้จะทำให้แท่งเหล็กเฟอร์ไรต์เสื่อมสภาพเป็นสาภาพทำให้ แรงดึงดูดระหว่างแท่งแม่เหล็กกับแท่งเหล็กเฟอร์ไรต์รแม่เหล็ก |
ในการที่จะซื้อหม้อหุงข้าวแต่ละครั้งเราต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับครอบครัว เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้งานและประหยัดค่าไฟฟ้า |
ตารางแสดงขนาดของหม้อหุงข้าวที่เหมาสะสมกับครอบครัว
ขนาด (ลิตร) | ปริมาณข้าวสารในการหุงต้ม(ถ้วย) | จำนวนสมาชิกในครอบครัว(คน) | กำลังไฟฟ้า (วัตต์) |
0.3-1 ลิตร | 3-5 | 1-2 | 130-450 |
1-1.5 ลิตร | 5-10 | 3-6 | 450-500 |
1.6-2 ลิตร | 12ขึ้นไป | 5-8 | 530-730 |
หมายเหตุ ขนาดถ้วยตวงมีความจุประมาณ 180 ลูกบาศก์เซนติเมตร ความจุนี้พอๆกับแก้วน้ำขนาดเล็ก หม้อหุงข้าวแต่ละขนาด
ใช้กำลังไฟฟ้าต่างกัน ถ้าขนาดกำลังไฟฟ้ามาก ก็จะเสียค่าไฟมาก
ตารางขนาดหม้อหุงข้าวไฟฟ้ากำลังไฟฟ้าที่ใช้และค่าไฟ
ขนาด | กำลังไฟ้า(วัตต์) | ค่าไฟต่อเดือน |
1ลิตร | 450 | 27บาท |
1.8ลิตร | 600 | 36บาท |
2.2 ลิตร | 800 | 48บาท |
2.8ลิตร | 1,000 | 60บาท |
1.
การหุงข้าวแต่ละครั้งต้องคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
- ชนิดของข้าวที่หุง
- ปริมาณน้ำที่ใช้
- วิธีการหุงข้าว
-
ความร้อนที่ข้าวได้รับระหว่างหุง
2.ไม่ควรนำทับพีไว้ ในหม้อข้าว ความร้อนจากข้าวทำให้ทัพพีร้อนเป็นอันตรายและอาจทำให้สารที่เคลือบอยู่ในหม้อชั้นใน ได้รับความร้อนจะละลายเจือปนกับข้าว |
2.ไม่ควรนำถุงอาหาร ไปอุ่นในหม้อข้าว ไม่ควรนำอาหารหรือข้าวที่เหลือมาอุ่นในหม้อข้าว เพราะจะทำให้เสียพลังงาน ความร้อน และสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า ทำให้หม้อหุงข้าวเสื่อมเร็ว |
3.ขณะที่หม้อข้าวร้อน อย่าเอามือไปแตะ ขณะที่หม้อข้าวร้อนเอามือไปแตะจะทำให้เกิดอันตรายอาจทำให้มือพองได้ |
4.ก่อนหุงข้าวต้องทำความสะอาดเศษข้าวที่ติดอยู่ ออกให้หมดก่อน ในการหุงข้าวต้องทำความสะอาดเอาเศษอาหารออกให้หมดเพราะเศษอาหารที่ติดอยู่ทำให้ข้าวบูดได้ และต้องใช้พลังงานในการหุงมากขึ้นทำให้เปลืองไฟ |
5.นำสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ บนแผ่นความร้อนและ อย่าหุงข้าวขณะที่ไม่มีภาชนะบรรจุข้าวด้านใน ก่อนหุงข้าวต้องตรวจสอบว่ามีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ที่แผ่นความร้อนหรือไม่ ถ้ามีต้องเอาออกเพราะจะทำให้เกิดการเสียหายกับแผ่นความร้อนและหม้อหุงข้าวได้ |
6.ไม่ควรนำหม้อหุงข้าว ไว้ใกล้แหล่งความร้อน ไม่ควรนำหม้อหุงข้าวใกล้แหล่งความร้อน เพราะจะทำให้หม้อหุงข้าว เกิดการเสียหายจากความร้อนได้ |
6.ไม่ควรนำหม้อหุงข้าวไฟฟ้าชั้นนอก ไม่ควรนำหม้อหุงข้าวไฟฟ้าชั้นนอกไปล้างน้ำเพราะจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดกระแสไฟฟ้ารั่วไหล และเกิดการลัดวงจร และต้องถอดปลั๊กออกทุกครั้งที่ทำความสะอาด |
7.ใช้ผ้าเช็ดเบาๆ เมื่อมีสิ่งสกปรกติด แผ่นความร้อนหรือเทอร์โสตัท |
8.ไม่ควรใช้ฝอยเหล็กขัดเพราะจะทำให้แผ่นความร้อนหรือเทอร์โมสตัทเสื่อมเละสึกเร็ว |
9.ควรใช้ฟองน้ำกับน้ำยาล้างจาน ล้าง ทำความสะอาดหม้อหุงข้าว ไม่ควรใช้ ผงซักฟอก ทินเนอร์ ฝอยเหล็ก ขัดล้างหม้อหุงข้าว เพราะจะทำให้ผิวหม้อ เสียหายได้ |
1. หม้อหุงข้าวไม่ทำงาน - สายไฟขาด -สวิตช์เสีย - ขั้วปลั๊กหลุดหรือหลวม - ลวดความร้อนขาด 2. หม้อหุงข้าวไม่ตัดไฟ - เทอร์โมสตัทไม่ทำงาน -เทอร์โมสตัทไม่สัมผัส กับด้านล่างของภาชนะ 3.ขณะอุ่นข้าวข้าวไหม้ -วงจรอุ่นข้าวผิดปกติ -เกิดการลัดวงจร ของลวดความร้อน |
หม้อหุงข้าวไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกในการหุงข้าวให้รวดเร็ว แต่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า
ดังนั้นในการใช้ต้องเลือกให้เหมาะสมและบำรุงรักษาอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่า
และประหยัดและยังมีอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆอีกที่ใช้พลังงานความร้อนในการหุงต้มอาหารที่จะต้องศึกษา
เพื่อเป็นประโยชน์ในการใช้งานในการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน