Startup Repair Windows 10 ไม่ได้

ช่วยด้วย! คอมพิวเตอร์ Windows 10 ของฉันติดค้างอยู่ใน Windows Automatic Repair loop เป็นเวลาสองสามวัน เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันเปิดเครื่องแล็ปท็อป มันขึ้นมาพร้อมกับ 'preparing Automatic Repair' แล้วฉันปิดเครื่อง แต่มันรีบูตโดยอัตโนมัติวนอยู่ที่ Automatic Repair ฉันจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?

Show

คอมพิวเตอร์ของคุณวันอยู่ที่การเริ่มระบบใหม่ และมีข้อความแสดงข้อผิดพลาดแจ้งว่า "Preparing Automatic Repair" หรือ "Automatic Repair couldn't repair your PC"? ขอให้ใจเย็นๆ และติดตามคำแนะนำของเราที่นี่

ในหน้านี้ เรานำเสนอคำแนะนำฉบับสมบูรณ์เพื่อแก้ไขปัญหาการวนอยู่กับ "Preparing Automatic Repair" ได้อย่างรวดเร็วบน Windows 10 หรือ Windows 8.1/8 โดยไม่ไม่ทำให้ข้อมูลหาย:

วิธีการที่ได้ผลการแก้ปัญหาทีละขั้นตอนวิธีแก้ 1. ขยายพาร์ติชันระบบWindows ต้องการพื้นที่เพียงพอในการทำงานอย่างเต็มที่ ขยายไดรฟ์ระบบ เพื่อแก้ไข "Preparing ...วิธีแก้ 2. ปิดการเเรียกการป้องกันมัลแวร์ปิดการเเรียกการป้องกันมัลแวร์...วิธีแก้ 3. เรียกใช้ตัวตรวจสอบไฟล์ระบบ & CHKDSK Disk Utilityเรียกใช้ System File Checker...วิธีแก้ 4. สร้าง BCD ขึ้นมาใหม่หาก Master Boot Record (MBR)...แนวทางอื่นที่มีประสิทธิภาพลองในการเรียกคืน Windows Registry...

คำแนะนำเพื่อความรวดเร็วสำหรับคุณ: ในการปฏิบัติตามคำแนะนำ คุณจะสามารถกู้คืนคอมพิวเตอร์จากปัญหาวนอยู่กับที่ "Preparing Automatic Repair" ได้สำเร็จด่วยตัวคุณเอง หากคุณไม่สนใจที่รู้ถึงสาเหตุของข้อผิดพลาดนี้ คุณสามารถเริ่มต้นจากคำแนะนำที่ 2 ได้

ภาพรวมของปัญหา Windows Preparing Automatic Repair

Automatic Repair เป็นคุณลักษณะในตัวของ Windows ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาในการบู๊ตเข้าระบบ จะทำงานโดยอัตโนมัติ แต่ในบางครั้ง เมื่อมีปัญหาในการแก้ไขข้อผิดพลาด ทำให้ "Automatic Repair" วนกลับขึ้นมาแสดงอีก ทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณรีบู๊ตครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ไปไหน

เป็นผลให้ คุณต้องเผชิญกับปัญหาในการบู๊ตคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้คุณไม่สามารถเข้าถึงโปรแกรม บริการ และไฟล์ทั้งหมดในคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานได้

อาการของปัญหา Windows Preparing Automatic Repair

เมื่อการซ่อมแซมอัตโนมัติล้มเหลว คอมพิวเตอร์ของคุณจะมีอาการดังต่อไปนี้:

  • คอมพิวเตอร์ค้างบนหน้าจอสีดำพร้อมข้อความแสดงข้อผิดพลาด "Preparing Automatic Repair" หรือ "Diagnosing your PC"
  • Windows แจ้งว่า "Preparing Automatic Repair" แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือหน้าจอสีดำโดยที่ไม่มีอะไรเปิดอยู่
  • Automatic Repair ค้างบน จอสีฟ้า, แสดงข้อความว่า Your PC did not start correctly" หรือ "Automatic repair couldn't repair your PC." หากคุณคลิก "Restart" คอมพิวเตอร์ของคุณจะรีบู๊ตและวนกลับไปที่การซ่อมแซมอัตโนมัติ

Windows Automatic Repair loop

สาเหตุของ "Preparing Automatic Repair" หรือ "Automatic Repair Loop"

ปัญหา "Preparing Automatic Repair" เกิดขึ้นมากขึ้นบนคอมพิวเตอร์ Windows 11/10/8.1/8 โดยปกติ ปัญหาการซ่อมแซมอัตโนมัติหรือการซ่อมแซมการเริ่มต้นระบบจะเกิดขึ้นทันทีหลังจากการอัพเดต Windows หรือการปิดระบบ Windows อย่างกระทันหัน

แล้วอะไรทำให้เกิดข้อผิดพลาดนี้? นี่คือรายการสาเหตุทั่วไป:

  • ปัญหาจาก Windows Registry
  • ไฟล์ BOOTMGR (Windows Boot Manager) เสียหาย
  • ไฟล์ระบบสูญหาย หรือเสียหาย
  • ปัญหาเกี่ยวกับไดรเวอร์ฮาร์ดแวร์ (ไดรเวอร์ฮาร์ดไดรฟ์ ไดรเวอร์เมนบอร์ด ไดรเวอร์กราฟิก)
  • เหตุผลอื่นที่ไม่สามารถระบุได้

ดังนั้น คุณจะแก้ไขข้อผิดพลาด "Preparing Automatic Repair" นี้ได้อย่างไร? ปฏิบัติตามคำแนะนำวิธีที่ 2 และ 3 อย่างละเอียด แล้วคอมพิวเตอร์ของคุณจะกลับมาทำงานได้ตามปกติ

กู้คืนข้อมูล Windows จากปัญหา Preparing Automatic Repair

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ใด ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอสีน้ำเงินหรือหน้าจอสีดำที่วนอยู่กับ "Automatic Repair" สิ่งสำคัญที่สุดคือ ดึงข้อมูลของคุณออกจากคอมพิวเตอร์ที่ "เสีย" ขึ้นมาก่อน

ที่นี่ คุณจะพบกับ 2 วิธีในการกู้คืนข้อมูล Windowsจากข้อผิดพลาดนี้ได้โดยอัตโนมัติ หรือ แก้ไขด้วยตนเอง หากคุณต้องการวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ วิธีที่ 1 ก็คุ้มค่าที่จะใช้

วิธีที่ 1. กู้คืนข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ที่วนอยู่ใน Automatic Repair ด้วยซอฟต์แวร์กู้คืนข้อมูลที่สามารถบู๊ตได้

ซอฟต์แวร์กู้คืนข้อมูลที่สามารถบู๊ตได้ และเชื่อถือได้อย่าง - EaseUS Data Recovery Wizard พร้อมสร้างสื่อที่สามารถบู๊ตได้ ช่วยคุณให้สามารถบู๊ตคอมพิวเตอร์ที่วนอยู่กับที่ "Automatic Repair" ด้วยการสร้างสื่อที่สามารถบู๊ตได้

จากนั้น คุณสามารถสแกนและกู้คืนข้อมูลทั้งหมดจากคอมพิวเตอร์ที่ "ไม่สามารถบูตได้" หรือ "ใช้งานไม่ได้"

  • กู้คืนไฟล์ เอกสาร รูปภาพ เสียง เพลง อีเมล ที่สูญหายหรือถูกลบอย่างมีประสิทธิภาพ
  • กู้คืนไฟล์จาก HDD, การ์ด SD, แฟลชไดรฟ์ USB, การ์ดหน่วยความจำ, กล้องดิจิตอล และอื่นๆ
  • กู้คืนข้อมูลหลังจากระบบล่ม การลบอย่างกะทันหัน การฟอร์แมต ความเสียหายของฮาร์ดไดรฟ์ และการโจมตีของไวรัสภายใต้สถานการณ์ต่างๆ

ขั้นตอนที่ 1. สร้างดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้

เตรียม USB หากคุณมีข้อมูลสำคัญให้คัดลอกข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่น เมื่อคุณสร้างดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้ข้อมูลบน USB จะถูกลบ EaseUS Data Recovery Wizard WinPE Edition จะช่วยคุณสร้างดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้ เชื่อมต่อไดรฟ์ USB กับพีซีเปิด EaseUS Data Recovery Wizard WinPE Edition เลือกไดรฟ์ USB และคลิก "Proceed" (ดำเนินการต่อ) เพื่อสร้างดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้

สร้างดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้

ขั้นตอนที่ 2. บูตจาก USB ที่สามารถบู๊ตได้

เชื่อมต่อดิสก์สำหรับบูตเข้ากับพีซีที่ไม่สามารถบู๊ตได้และเปลี่ยนลำดับการบูตคอมพิวเตอร์ของคุณใน BIOS สำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่จะทำงานได้ดีเมื่อรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์และกด F2 พร้อมกันเพื่อเข้าสู่ BIOS ตั้งค่าให้บูตพีซีจาก "Removable Devices" (อุปกรณ์ที่ถอดออกได้) หรือ "CD-ROM Drive" (ซีดีรอมไดรฟ์) นอกเหนือจากฮาร์ดไดรฟ์ กด "F10" เพื่อบันทึกและออก

ขั้นตอนที่ 3. กู้คืนไฟล์/ข้อมูลจากฮาร์ดไดรฟ์พีซี/แล็ปท็อปที่ไม่สามารถบู๊ตได้

เมื่อคุณบูตจาก USB คุณสามารถเรียกใช้ EaseUS Data Recovery Wizard จากดิสก์สำหรับบูต WinPE เลือกไดรฟ์ที่คุณต้องการสแกนเพื่อค้นหาไฟล์ที่สูญหายทั้งหมดของคุณ

เลือกไดรฟ์

คลิก Scan (สแกน) เริ่มกระบวนการสแกน 

ให้ซอฟต์แวร์สแกนไดรฟ์

กู้คืนข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อป หลังจากการสแกนเสร็จสิ้นคุณสามารถดูไฟล์ที่กู้คืนได้ทั้งหมดเลือกไฟล์เป้าหมายแล้วคลิกปุ่ม "Recover" (กู้คืน) เพื่อกู้คืนไฟล์ของคุณ คุณควรบันทึกข้อมูลที่กู้คืนทั้งหมดไปยังที่อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการเขียนทับข้อมูล

กู้คืนข้อมูลจากคอมพิวเตอร์

วิธีที่ 2. กู้ข้อมูลด้วยตนเองจากคอมพิวเตอร์ที่ค้าง Automatic Repair ผ่านทาง PC เครื่องอื่น

ขั้นตอนที่ 1. ถอดเคสคอมพิวเตอร์ที่แสดงข้อผิดพลาด "Automatic Repair"

ขั้นตอนที่ 2. ถอดสายเชื่อมต่อฮาร์ดไดรฟ์และถอดออกฮาร์ดไดรฟ์ออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณ

ขั้นตอนที่ 3. นำฮาร์ดไดรฟ์เชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ใช้งานได้ปกติเป็นดิสก์ภายนอก

Connect disk to anther PC and get off disk data

ขั้นตอนที่ 4. รีสตาร์ท PC เครื่องที่ใช้นี้ และเข้าถึงไดรฟ์ของคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าผ่าน File Explorer

ขั้นตอนที่ 5. คัดลอกและบันทึกข้อมูลจากฮาร์ดไดรฟ์ที่มีปัญหาไปเก็บไว้ยังฮาร์ดไดรฟ์ภายนอกที่ปลอดภัย

ตอนนี้ ถึงเวลาที่คุณต้องดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาด "Windows 10 preparing automatic repair" ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทีคุณเผชิญอยู่ ซึ่งมีวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้คือวิธีแก้ปัญหาที่ใช้การได้ทั้งหมดซึ่งสามารถเลี่ยงการซ่อมแซมอัตโนมัติในคอมพิวเตอร์ของคุณได้ในสองกรณี: หน้าจอสีดำหรือหน้าจอสีน้ำเงิน

วิธีแก้ไข Windows Automatic Repair ที่แสดงบนหน้าจอสีน้ำเงิน

เมื่อการซ่อมแซมอัตโนมัติล้มเหลว คอมพิวเตอร์ของคุณจะแสดงหน้าจอสีน้ำเงินว่า"Your PC did not start correctly" หรือ "Automatic repair couldn't repair your PC." หากคุณคลิก "Restart" คอมพิวเตอร์จะวันกลับเข้าสู่กระบวนการเดิมนี้ ส่งผลให้เกิดวนอยู่ในกระบวนการซ่อมแซมอัตโนมัติ

Automatic Repair loop in Windows 10 - Your PC did not start correctly

ปฏิบัติตามวิธีการต่างๆ และดูวิธีคืนค่าคอมพิวเตอร์ของคุณจากหน้าจอสีน้ำเงินของข้อผิดพลาด Automatic Repair ด้วยตัวคุณเอง

วิธีแก้ 1. ขยายพาร์ติชันระบบ

Windows และแอปพลิเคชั่นบางตัวต้องการพื้นที่เพียงพอในการทำงานอย่างถูกต้อง หากไดรฟ์ระบบบนคอมพิวเตอร์ของคุณเกือบเต็ม คุณอาจพบปัญหา "Your PC ran into a problem" หรือติดอยู่กับ "Preparing Automatic Repair"

ในการเพิ่มพื้นที่ว่างให้กับระบบและแอพพลิเคชั่น ด้วยมืออาชีพทางด้าน เครื่องมือแบ่งพาร์ติชั่น - EaseUS Partition Master สามารถ ขยายพาร์ติชันระบบจากดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้และกู้คืนคอมพิวเตอร์จากหน้าจอสีน้ำเงินของข้อผิดพลาด Automatic Repair:

1. สร้างดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้บน PC เครื่องที่ใช้งานได้ปกติดี

ขั้นตอนที่ 1. เตรียมดิสก์หรือไดรฟ์

ในการสร้างดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้ของ EaseUS Partition Master, คุณควรเตรียมสื่อบันทึกข้อมูล, เช่น ไดรฟ์ USB, แฟลชไดรฟ์, หรือแผ่นซีดี/ดีวีดี เชื่อมต่อไดรฟ์เข้ากับคอมพิวเตอร์ของคุณอย่างถูกต้อง

เปิด EaseUS Partition Master ไปที่คุณสมบัติ "WinPE Creator" (ตัวสร้าง WinPE) ที่ด้านบน คลิกที่นั่น

สร้างดิสก์ที่สามารถบูตได้อย่างง่ายของพาร์ติชันมาสเตอร์

ขั้นตอนที่ 2. สร้าง ไดรฟ์ที่บูตได้ EaseUS Partition Master

คุณสามารถเลือก USB หรือ ซีดี/ดีวีดี เมื่อไดรฟ์พร้อมใช้งาน อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่มีอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลอยู่ในมือ,คุณยังสามารถบันทึกไฟล์ ISO ลงในไดรฟ์ภายในเครื่อง, และเบิร์นลงในสื่อบันทึกข้อมูลในภายหลังได้ เมื่อสร้างตัวเลือกแล้ว, ให้คลิก "Proceed" (ดำเนินการต่อ)

ดิสก์สำหรับบูต EaseUS WinPE

เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้น คุณได้สร้างดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้ด้วย EaseUS Partition Master WinPE แล้ว ตอนนี้คุณสามารถจัดการฮาร์ดดิสก์และพาร์ติชั่นของคุณผ่านไดรฟ์ที่สามารถบู๊ตได้ทุกครั้งที่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถบู๊ตได้ตามปกติ

หากคุณมีไดรฟ์ RAID ให้โหลดไดรเวอร์ RAID มาก่อน โดยคลิก Add driver จากแถบเมนู ซึ่งสามารถช่วยคุณเพิ่มไดรเวอร์ของอุปกรณ์ภายใต้สภาพแวดล้อม WinPE เนื่องจากอุปกรณ์บางอย่างไม่รู้จักภายใต้สภาพแวดล้อม WinPE โดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์ เช่น RAID หรือฮาร์ดดิสก์บางตัว

2. ขยายพาร์ติชันระบบจากดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้

เชื่อมต่อดิสก์ USB ที่สามารถบู๊ตได้กับคอมพิวเตอร์ที่มีปัญหาและรีสตาร์ท PC กด F2/F11/Del เพื่อเข้าสู่ BIOS ตั้งค่า PC ให้บู๊ตจากดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้

เมื่อคอมพิวเตอร์บู๊ตจากดิสก์ที่สามารถบู๊ตได้ของ EaseUS WinPE แล้ว ให้เปิดโปรแกรม EaseUS Partition Master และขยายไดรฟ์ระบบตามขั้นตอนด้านล่าง:

ตัวเลือกที่ 1. ขยายไดรฟ์ System C ด้วย unallocated space

  1. 1. คลิกขวาที่ไดรฟ์ System C: และเลือก "Resize/Move"
  2. 2. ลากจากจุดที่สิ้นสุดของพาร์ติชันระบบไปยังส่วนของ unallocated เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับไดรฟ์ C: และคลิก "OK"
  3. 3. คลิก "Execute Operation" และ "Apply" เพื่อดำเนินการและขยายไดรฟ์ C

ตัวเลือกที่ 2. ขยายไดรฟ์ System C โดยไม่มี unallocated space

ขั้นตอนที่ 1. เปิด EaseUS Partition Master แล้วคลิก "Adjust with 1-Click" (ปรับด้วย 1 คลิก)

เมื่อไดรฟ์ C ไม่มีพื้นที่ว่าง คุณจะเห็นการแจ้งเตือนพื้นที่ดิสก์เหลือน้อยบนผลิตภัณฑ์ของเรา

วิธีปรับ Low C Drive Space ขั้นตอนที่ 1

ขั้นตอนที่ 2. คลิก "Proceed" (ดำเนินการ) เพื่อปรับพื้นที่โดยอัตโนมัติ

EaseUS Partition Master จะปรับไดรฟ์ C ของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่เหลือน้อย คลิก "Proceed" (ดำเนินการ) เพื่อดำเนินการต่อ

วิธีปรับ Low C Drive Space ขั้นตอนที่  2

คุณยังสามารถคลิก "Manual Adjustment" (การปรับด้วยตนเอง) เพื่อขยายไดรฟ์ C ด้วยตนเองหากการปรับพื้นที่อัจฉริยะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้

เมื่อเปลี่ยนเป็นการปรับด้วยตนเอง, ผลการปรับอัจฉริยะจะยังคงเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการปรับด้วยตนเอง เลือกไดรฟ์ C และลากจุดเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับไดรฟ์ C จากนั้นคลิก "Proceed" (ดำเนินการ) เพื่อดำเนินการต่อ

ขั้นตอนที่ 3. ดำเนินการ

คลิกปุ่ม "Execute Operation" (ดำเนินการ) ที่มุมด้านบนและเริ่มการดำเนินการ, รอดำเนินการทั้งหมดโดยคลิก "Apply" (นำไปใช้)

3. รีสตาร์ท PC ด้วยระบบปฏิบัติการบนดิสก์เดิม

หลังจากขยายไดรฟ์ระบบแล้ว ตอนนี้คุณสามารถรีสตาร์ท PC จากดิสก์ระบบเดิมได้:

ขั้นตอนที่ 1. รีสตาร์ท PC และกดปุ่ม F2/F11/Del เพื่อเข้าสู่ BIOS

ขั้นตอนที่ 2. ในเมนู Boot ให้สลับและตั้งค่าการบู๊ตด้วยดิสก์ระบบเดิม

ขั้นตอนที่ 3. บันทึกการเปลี่ยนแปลง ออกจาก BIOS และรีสตาร์ท PC

รอให้คอมพิวเตอร์บู๊ต หากคุณเห็นหน้าต่างการเข้าสู่ระบบ ขอแสดงความยินดีและคุณได้แก้ไขปัญหานี้สำเร็จแล้ว แต่หากปัญหายังคงมีอยู่ ให้ไปที่การแก้ไขถัดไป

วิธีแก้ 2. ปิดการเรียนกใช้งานการป้องกันมัลแวร์

อีกวิธีหนึ่งในการออกจากการวนของ Windows Automatic Repair คือ การปิดใช้งานการป้องกันมัลแวร์ คุณสามารถทำได้จาก Command Prompt โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

ขั้นตอนที่ 1. รีสตาร์ท PC แล้วคลิก "Advanced options" บนหน้าจอสีน้ำเงินที่แสดง Automatic Repair

ขั้นตอนที่ 2. คลิก "Troubleshoot" > "Advanced Options" > "Startup Settings"

คอมพิวเตอร์ของคุณจะรีสตาร์ท จากนั้นแสดงรายการตัวเลือก

ขั้นตอนที่ 3. เลือก "Disable early launch anti-malware protection"

Windows Startup Settings - Disable Early Launch Anti-Malware Protection

หลังจากนี้ ให้รีสตาร์ท PC และตรวจสอบว่าคุณสามารถบูตเข้าสู่ Windows ได้แล้วหรือไม่

วิธีแก้ 3. เรียกใช้ตัวตรวจสอบไฟล์ระบบ CHKDSK

หากไฟล์ระบบคอมพิวเตอร์เสียหายหรือสูญหาย นั่นอาจเป็นสาเหตุของปัญหา ซึ่งบน Windows มี System File Checker ในตัวและ CHKDSK Disk Utility ให้ผู้ใช้ตรวจสอบและซ่อมแซมไฟล์ระบบที่สูญหายหรือเสียหายได้

 คำเตือนหวังว่าการรัน chkdsk จะสามารถแก้ไขปัญหาไฟล์ระบบได้ อย่างไรก็ตาม มันอาจทำให้ข้อมูลสูญหายทั้งหมดได้เช่นกัน ดังนั้น ให้ดำเนินการกู้คืนข้อมูลขึ้นมาก่อน แล้วจึงดำเนินการตามวิธี CMD

ในการใช้เครื่องมือนี้ คุณต้องมีสื่อการติดตั้ง Windows ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของคุณ แล้วทำการแก้ไขข้อผิดพลาดหน้าจอสีน้ำเงินด้วยขั้นตอนด้านล่างนี้:

ขั้นตอนที่ 1. รีสตาร์ท PC ของคุณด้วยสื่อการติดตั้ง Windows

ขั้นตอนที่ 2. ในหน้าต่างการตั้งค่า Windows เลือก "Next"

ขั้นตอนที่ 3. เลือก "Repair your computer" > "Troubleshoot" > "Advanced options" > "Command Prompt"

ขั้นตอนที่ 4. พิมพ์ sfc /scannow และกด Enter

ขั้นตอนที่ 5. พิมพ์ chkdsk /f /r /x C: และกด Enter

Run CMD to fix automatic repair loop error

ขั้นตอนที่ 6. พิมพ์ exit เพื่อปิด Command Prompt และรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์

วิธีแก้ 4. สร้าง BCD ใหม่

หาก Master Boot Record (MBR) และ Boot Configuration Data (BCD) หายไป, เสียหาย หรือกำหนดค่าไม่ถูกต้อง Windows จะไม่สามารถเริ่มทำงานได้ และถ้าเป็นกรณีนี้ ให้เข้าสู่ Windows และ ซ่อม MBR แบบ manual และสร้าง BCD ขั้นมาใหม่

เมื่อคอมพิวเตอร์ของคุณไม่สามารถเริ่มต้นระบบได้ คุณสามารถใช้ bootrec.exe เพื่อแก้ไข Master Boot Record (MBR), Boot Sector, Boot Configuration (BCD) และ boot.ini

ขั้นตอนที่ 1. เชื่อมต่อสื่อ/ดิสก์การติดตั้ง Windows เข้ากับ PC

ขั้นตอนที่ 2. บู๊ต PC ของคุณด้วยสื่อการติดตั้ง Windows หรือดีวีดี

ขั้นตอนที่ 3. ในหน้าต่างการตั้งค่า Windows เลือก "Next" > "Repair your computer"

ขั้นตอนที่ 4. เลือก "Troubleshoot" > "Advanced Options" > "Command Prompt"

ขั้นตอนที่ 5. เมื่อ Command Prompt ปรากฏขึ้น ให้ป้อนบรรทัดต่อไปนี้ตามลำดับ:

  • bootrec /fixboot
  • bootrec /scanos
  • bootrec /fixmbr
  • bootrec /rebuildbcd
  • exit

หลังจากนั้น ให้รีสตาร์ท PC และตรวจสอบว่าคอมพิวเตอร์ของคุณบู๊ทได้ตามปกติแล้วหรือไม่

วิธีแก้ 5. คืนค่า Windows Registry

Registry เป็นฐานข้อมูลที่มีข้อมูลการกำหนดค่าของระบบปฏิบัติการและแอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่ เมื่อ Registry เสียหาย อาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง เช่น การวนอยู่ใน Automatic Repair

ข่าวดีก็คือ Registry มีการสำรองข้อมูลการกำหนดค่าโดยอัตโนมัติ คุณสามารถใช้ข้อมูลสำรองเพื่อคืนค่า Registry ของ Windows ให้เป็นเวอร์ชันที่ใช้งานได้

ขั้นตอนที่ 1. เลือก "Advanced options" บนหน้าจอสีน้ำเงินที่แสดง Automatic Repair

ขั้นตอนที่ 2. ไปที่ "Troubleshoot" > "Advanced Options" > "Command Prompt"

ขั้นตอนที่ 3. เลือกบัญชีและป้อนรหัสผ่าน

ขั้นตอนที่ 4. ป้อนคำสั่งต่อไปนี้ทีละรายการแล้วกด Enter แต่ละรายการ

  • C:
  • CD Windows\System32
  • CD config
  • DIR
  • CD regback
  • DIR
  • CD..
  • REN default default1
  • ren sam sam1
  • ren security security1
  • ren software software1
  • ren system to system1
  • CD regback
  • copy * c:\windows\system32\config

ขั้นตอนที่ 6. พิมพ์ exit และกด Enter

ในหน้าจอ "Choose an option" เลือก "Turn off your PC" แล้วสตาร์ทคอมพิวเตอร์ของคุณ

วิธีแก้ 6. คืนค่าระบบ Windows

หากคุณได้สร้างจุดคืนค่าของ Windows ก่อนเกิดปัญหาติดวนอยู่กับ Automatic Repair คุณสามารถดำเนินการคืนค่าระบบเพื่อจัดการกับปัญหานี้ได้

หมายเหตุ: การดำเนินการกู้คืนระบบจะเขียนทับไฟล์ของคุณบนไดรฟ์ระบบ C อย่าลืมนำข้อมูลของคุณออกจากคอมพิวเตอร์ก่อน แล้วจึงคืนค่าระบบที่สามารถ ในสองวิธีที่เชื่อถือได้

นี่คือขั้นตอน:

ขั้นตอนที่ 1. ในหน้าจอสีน้ำเงินที่แสดง Automatic Repair ให้เลือก "Advanced options"

ขั้นตอนที่ 2. ไปที่ "Troubleshoot" > "Advanced Options" > "System Restore"

Perform system restore

ขั้นตอนที่ 3. เลือกจุดคืนค่า แล้วคลิก "Next" เพื่อคืนค่าคอมพิวเตอร์ของคุณให้กลับไปยังสถานะปกติ

ขั้นตอนที่ 4. รอจนกว่ากระบวนการกู้คืนจะเสร็จสิ้น จากนั้นรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์

Fix Windows Automatic Repair issue - Perform a System Restore

วิธีแก้ไข Windows Automatic Repair ที่แสดงบนหน้าจอสีน้ำดำ

เมื่อคอมพิวเตอร์ของคุณคุณติดอยู่ที่หน้าจอสีดำ "Preparing Automatic Repair/Diagnosing your PC" คอมพิวเตอร์จะค้างอยู่ที่หน้าจอสีดำ

Preparing Automatic Repair Loop with black screen

นี่คือการแก้ไขบางอย่างที่สามารถช่วยคุณได้:

วิธีแก้ 1. ทำการฮาร์ดรีบู๊ต

เมื่อคอมพิวเตอร์ไม่ตอบสนอง และค้าอยู่ที่หน้าจอสีดำ ที่มีคำเตือน"Preparing Automatic Repair", ให้ทำการรีบู๊ตเครื่องก่อน ฮาร์ดรีบูตเป็นวิธีการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ด้วยตนเองแทนที่จะใช้ส่วนควบคุมของระบบปฏิบัติการ (ซอฟต์รีบู๊ต)

ขั้นตอนที่ 1. กดปุ่มเปิด/ปิดบนคอมพิวเตอร์ค้างไว้จนกว่าจะปิดเครื่อง

ขั้นตอนที่ 2. หลังจากนั้น ให้กดปุ่มเปิด/ปิดและเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์

Reboot computer to fix automatic repair loop

ขั้นตอนที่ 3. ตรวจสอบและดูว่าปัญหายังคงมีอยู่หรือไม่

วิธีแก้ 2. บู๊ตเข้าสู่ Safe Mode

Safe Mode คือโหมดการวินิจฉัยของ Windows ในเซฟโหมด คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบได้โดยการถอนการติดตั้ง/อัพเดตซอฟต์แวร์/ไดรเวอร์ที่เข้ากันไม่ได้ ลบไฟล์ที่มีปัญหา ลบไวรัส และอื่นๆ

เมื่อคอมพิวเตอร์ติดอยู่ที่หน้าจอ "Preparing Automatic Repair/Diagnosing your PC" หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นสีดำและหยุดตอบสนอง คุณสามารถเปิดการทำงาน PC ได้ด้วยซีดี/ดีวีดีการติดตั้ง Windows และ บู๊ตเข้าสู่ Safe Mode เพื่อแก้ปัญหานี้

หากคุณไม่มีแผ่นดิสก์การติดตั้ง ให้ทำตามคำแนะนำของ Microsoft เพื่อ สร้างสื่อการติดตั้ง Windows.

นี่คือขั้นตอนในการเข้าสู่ Safe Mode:

ขั้นตอนที่ 1. เชื่อมต่อสื่อการติดตั้ง Windows เข้ากับคอมพิวเตอร์

ขั้นตอนที่ 2. รีสตาร์ท PC และกด F2/F11/Del เพื่อเข้าสู่ BIOS

ขั้นตอนที่ 3. เลือกบูตจากสื่อการติดตั้งจากหน้าจอ รอให้โหลดโปรแกรม

ขั้นตอนที่ 4. ในหน้าต่างการตั้งค่า Windows เลือก "Next"

ขั้นตอนที่ 5. เลือก "Repair your computer" > "Troubleshoot" > "Advanced options" > "Startup Settings"

Enter advanced options

ขั้นตอนที่ 6. เลือก Safe Mode - Enable Safe Mode, Enable Safe Mode with Networking, and Enable Safe Mode with Command Prompt.

Windows Startup Settings - Choose Safe Mode

ขั้นตอนที่ 7. แก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์หลังจากเข้าสู่ Safe Mode:

  • เรียกใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสเพื่อสแกนหาและลบไวรัส
  • ลบไฟล์ที่มีปัญหาที่อาจส่งผลให้ กระบวนการ "Preparing Automatic Repair" ติดค้าง
  • ถอนการติดตั้งซอฟต์แวร์หรือไดรเวอร์ที่น่าสงสัย
  • อัพเดตไดรเวอร์ฮาร์ดแวร์โดยใช้ CD/DVD/USB ที่มีไดรเวอร์

วิธีแก้ 3. ปิดใช้งานการซ่อมแซมอัตโนมัติ

การซ่อมอัตโนมัติเองของ Windows ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณไม่สามารถบู๊ตได้อย่างถูกต้อง คุณสามารถปิดใช้งานการซ่อมแซมอัตโนมัติที่อาจแก้ไขปัญหานี้ได้

คุณต้องป้อนคำสั่งใน Command Prompt เหมือนในวิธีที่ 3 สำหรับวิธีนี้

ขั้นตอนที่ 1. ใส่หรือเชื่อมต่อแผ่นดิสก์/สื่อการติดตั้ง Windows เข้ากับ PC ของคุณ

ขั้นตอนที่ 2. เริ่มและบู๊ตคอมพิวเตอร์จากสื่อการติดตั้ง Windows

ขั้นตอนที่ 3. ในหน้าต่างการตั้งค่า Windows เลือก "Next" > "Repair your computer"

ขั้นตอนที่ 4. เลือก "Troubleshoot" > "Advanced Options" > "Command Prompt"

ขั้นตอนที่ 5. พิมพ์ bcdedit /set {current} recoveryenabled No และกด Enter

คุณยังสามารถลบไฟล์ที่มีปัญหาได้ด้วยบรรทัดคำสั่ง: C: cd Windows\System32\LogFiles\Srt. SrtTrail.txt

Delete problematic files

หากคุณเห็นบางอย่างที่มีลักษณะเช่น ไฟล์ Critical Boot c:\windows\system32\drivers\vsock.sys เสียหาย ให้ไปยังตำแหน่งที่ระบุโดยใช้ Command Prompt และป้อนคำสั่ง del เพื่อลบไฟล์ที่มีปัญหา

ขั้นตอนที่ 6. พิมพ์ exitเพื่อปิด Command Promp และรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์

วิธีแก้ 4. รีเฟรชหรือรีเซ็ต PC

แนวทางที่เป็นทางการของ Microsoft สำหรับปัญหาที่วนค้าอยู่ที่ 'Preparing Automatic Repair' คือการรีเฟรชหรือรีเซ็ต PC โดยตรง

หมายเหตุ: การรีเฟรชหรือรีเซ็ต PC จะทำให้ข้อมูลสูญหายอย่างร้ายแรง จำไว้ว่า จากคอมพิวเตอร์ก่อน

นี่คือขั้นตอน:

ขั้นตอนที่ 1. ในหน้าต่าง 'Preparing automatic repair' ให้กดปุ่มเปิด/ปิดค้างไว้สามครั้ง

เป็นการบังคับให้ปิดเครื่อง

ขั้นตอนที่ 2. ระบบจะเข้าสู่หน้าการซ่อมแซมการบู๊ตหลังจากรีบู๊ต 2-3 ครั้ง

refresh pc to fix windows 10 preparing automatic repair loop

ขั้นตอนที่ 3. เลือก"Troubleshoot" จากนั้นไปที่ "Refresh PC or รีเซ็ต PC."

ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อรีเซ็ต PC ของคุณให้เสร็จสิ้น หลังจากนี้ ให้รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ แล้วคุณจะสามารถทำงานกับมันได้อีกครั้ง

หากวิธีแก้ปัญหานี้ไม่สามารถนำหน้าการซ่อมแซมมาให้คุณได้ ให้ดำเนินการตามวิธีการต่อไปนี้

วิธีแก้ 5. ติดตั้ง Windows 10 ใหม่

ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมอัตโนมัติใน Windows อาจสร้างปัญหาให้คุณเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน และวิธีสุดท้ายที่คุณสามารถลองได้คือ ติดตั้ง Windows 10 ใหม่บนคอมพิวเตอร์ของคุณ

คุณสามารถใช้สื่อการติดตั้ง Windows เพื่อติดตั้ง Windows 10/8.1/8 ใหม่ หรือดาวน์โหลดการอัปเดต Windows 10 ล่าสุดเพื่อติดตั้ง Windows 10 ใหม่บน PC ของคุณ

 เปิดตัว Windows 10 20H2 อัพเดต:ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคมเป็นต้นไป Microsoft จะเปิดตัว Windows 10 อัพเดทตุลาคม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ใหม่ล่าสุดสำหรับผู้ใช้หลักในการติดตั้งหากคุณยังไม่ได้รับ คุณสามารถดาวน์โหลดด้วยตนเองได้จากหลากหลายช่องทางในการติดตั้ง Windows 10 20H2 อัพเดทล่าสุด ให้คลิกที่ Download Latest Windows 10 Update จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Microsoft

ถึงตาคุณแล้ว คืนชีวิตให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณ

ในหน้านี้ เราได้อธิบายว่า Automatic Repair คืออะไร และอะไรเป็นสาเหตุของปัญหาการวนอยู่ที่ Preparing Automatic Repair บนคอมพิวเตอร์ Windows 11/10/8.1/8

หากคุณกำลังประสบปัญหานี้ เราขอแนะนำให้คุณปฏิบัติตามคำแนะนำฉบับสมบูรณ์นี้ หากข้อมูลของคุณมีความสำคัญ อย่าลืมใช้ซอฟต์แวร์กู้คืนข้อมูลที่สามารถบู๊ตได้ของ EaseUS เพื่อดึงข้อมูลของคุณออกจาก PC ที่ไม่สามารถบู๊ตได้ก่อน

คุณสามารถลองแก้ไขตามคำแนะนำข้างต้น ที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา "Automatic Repair" บนจอสีน้ำเงิน หรือ"Preparing Automatic Repair" บนหน้าจอสีดำ

สุดท้ายนี้ เราขอแนะนำให้คุณ สร้างอิมเมจสำรองระบบ โดยทันที มันจะช่วยชีวิตคุณได้เสมอและทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณกลับมาทำงานได้อีกครั้งเมื่อคอมพิวเตอร์ของคุณใช้งานไม่ได้