มาทำความเข้าใจกับ ความหมายของ การวิเคราะห์ และการวิจารณ์ ศิลปะกันก่อน
การวิเคราะห์งานศิลปะ คือ การพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อศึกษางานศิลปะซึ่งมีการแบ่งออกเป็นส่วนๆ ไม่ว่าจะทางด้านทัศนธาตุ , องค์ประกอบศิลป์ รวมทั้งความสัมพันธ์ต่างๆ โดยนำข้อมูลในหลายปัจจัย ในหลายองค์ประกอบ มาประเมินผลงานทางด้านศิลปะว่ามีคุณค่าทางด้านใดบ้าง
การวิจารณ์งานศิลปะ คือ การแสดงความคิดเห็นทางด้านศิลปะ ที่ศิลปินได้รังสรรค์ขึ้นมา เป็นการแสดงทัศนะทางด้านสุนทรียศาสตร์ รวมทั้งสาระอื่นๆ เพื่อให้ได้นำไปปรับปรุงในผลงานชิ้นต่อไป หรือ ใช้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินผลงาน อีกทั้งยังเป็นการฝึกวิธีวิเคราะห์ ให้เห็นความแตกต่างทางด้านคุณค่าในผลงานชิ้นนั้นๆ
คุณสมบัติที่นักวิจารณ์พึงมี
- ต้องมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะแบบกว้างขว้าง ในหลายด้าน
- ต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของศิลปะ
- ต้องมีความรู้เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์
- ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง มั่นใจในตนเอง
- กล้าแสดงออกตามหลักวิชาการและตามความรู้สึกที่สั่งสมมาจากประสบการณ์
ทฤษฎีการสร้างงานศิลปะ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ ได้แก่…
- เลียนแบบ – เกิดจากการประจักษ์ในความงามในธรรมชาติ ศิลปินจึงได้ลอกเลียนแบบมา ให้มีความเหมือนทั้งรูปร่าง , รูปทรง และสีสัน
- สร้างรูปทรงสวยงาม – คือ การสร้างสรรค์รูปทรงใหม่ ให้เกิดความสวยงาม และประกอบไปด้วยทัศนธาตุ ได้แก่ เส้น , รูปทรง , สี , น้ำหนัก , บริเวณว่าง รวมทั้งเทคนิคสร้างสรรค์ผลงาน
- แสดงอารมณ์ – คือ สร้างงานให้มีความรู้สึก
- แสดงจินตนาการ – คือ แสดงภาพจินตนาการให้ผู้ชมได้สัมผัส
แนวทางประเมินคุณค่าของงานศิลปะ
สำหรับการประเมินคุณค่างานศิลปะ จะมีการวิเคราะห์จาก 3 ด้าน ได้แก่…
ด้านความงาม
คือ การวิเคราะห์รวมทั้งประเมินคุณค่าทางด้านทักษะฝีมือ รวมทั้งการใช้ทัศนธาตุทางศิลปะ ตลอดจนการจัดองค์ประกอบศิลป์ เป็นการวิเคราะห์ว่าผลงานชิ้นนี้ มีการเปล่งประกายทางด้านความงดงามของศิลปะได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งทำให้ผู้ดูเกิดความเข้าใจในในสุนทรียภาพ โดยลักษณะของการแสดงออกทางด้านความงามในศิลปะ จะเต็มไปด้วยความหลากหลายซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่รูปแบบของยุคสมัย เพราะฉะนั้นเมื่อสรุปการวิเคราะห์ ตลอดจนการวิเคราะห์งานศิลปะทางด้านความงาม ซึ่งก็จะมีการตัดสินในเรื่องรูปแบบต่างๆ
ด้านสาระ
คือ การวิเคราะห์ เพื่อพิจารณาคุณค่าของผลงานศิลปะว่า มีคุณธรรม , จริยธรรม รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ทางด้านจิตวิทยารวมทั้งให้สิ่งใดต่อผู้ชมบ้าง โดยจะเป็นสาระที่เกี่ยวกับสิ่งใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็น ธรรมชาติ , สังคม , ศาสนา , การเมือง , ความฝัน และอื่นๆ อีกมากมาย
ด้านอารมณ์ความรู้สึก
คือ การประเมินคุณค่าทางด้านคุณสมบัติ ซึ่งเป็นการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก อีกทั้งยังเป็นการสื่อความหมายได้อย่างมีนัยยะสำคัญซ่อนอยู่ โดยเป็นผลของการใช้เทคนิคซึ่งแสดงออกให้เห็นถึงความคิด , พลัง ตลอดจนความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ในผลงาน
การประเมินคุณค่าของงานทัศนศิลป์
การประเมินงานศิลปะ หมายถึง การสร้างหลักเกณฑ์เพื่อประเมินผลงานศิลปะให้เกิดความเที่ยงธรรม เป็นการรวบรวมข้อมูลมาประกอบพิจารณาในทุก ๆ ด้านเพื่อการตัดสินใจ การประเมินมีความสำคัญมากและมีผลกระทบโดยตรงต่อนักเรียนหรือศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน จึงควรดำเนินการด้วยความรอบคอบใช้หลักวิชามาประกอบ และมีความยุติธรรมอย่างทั่วถึง ซึ่งโดยทั่วไปการประเมินคุณค่าของงานทัศนศิลป์จะพิจารณาจาก 3 ด้าน ได้แก่
1. ด้านความงาม เป็นการประเมินคุณค่าในด้านทักษะฝีมือ การใช้ทัศนธาตุ[1] ทางศิลปะและการจัดองค์ประกอบศิลป์ ว่าผลงานชิ้นนี้แสดงออกทางความงามของศิลปะได้อย่างเหมาะสม ส่งผลต่อผู้ชมหรือผู้ดูให้เกิดความชื่นชมในสุนทรียภาพเพียงใด การแสดงออกทางความงามของศิลปะแต่ละยุค แต่ละสมัยจะมีความแตกต่างกัน ผู้ประเมินจะต้องศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจด้วย
2. ด้านเนื้อหาสาระ เป็นการประเมินคุณค่าของผลงานศิลปะแต่ละชิ้นว่ามีลักษณะเนื้อหาสาระอะไรกับผู้ชม ที่จะส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนจุดประสงค์ต่างๆ ซึ่งอาจเป็นสาระเกี่ยวกับธรรมชาติ สังคม ศาสนา การเมือง ปัญญา ความคิดและจินตนาการ
3. ด้านอารมณ์ความรู้สึก เป็นการประเมินคุณค่าที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึกของผู้ดูโดยการใช้เทคนิควิธีการและสื่อความหมายของวัสดุที่นำมาสร้างสรรค์ ให้แสดงออกถึงความคิด จินตนาการในผลงาน
การประเมินคุณค่าของงานทัศนศิลป์จะพิจารณาด้านความงาม ด้านเนื้อหาสาระ และด้านอารมณ์ความรู้สึก
หลักเกณฑ์ในการประเมินงานทัศนศิลป์
มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้
1. สื่อความหมายได้อย่างชัดเจนและสอดคล้องกับหัวข้อเรื่องที่กำหนด
2. ความคิดริเริ่มในการสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงถึงความก้าวหน้า ความแปลกใหม่ทันสมัย
3. เทคนิควิธีการแสดงออกที่ช่วยให้ผลงานมีคุณค่า มีลักษณะเป็นของตนเอง ไม่ลอกเลียนแบบและมีความสามารถในการใช้วัสดุสร้างสรรค์
4. มีหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ หรือการจัดภาพที่เหมาะสมสวยงาม
5. มีความประณีตและเรียบร้อยหรือความสมบูรณ์ของผลงานศิลปะ
คณะกรรมการตัดสินการแข่งขันการวาดภาพ กำลังประเมินผลงานผู้เข้าร่วมการแข่งขัน
ประโยชน์ของการประเมินคุณค่างานทัศนศิลป์
มีประโยชน์และความสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
1. ด้านส่งเสริมการพัฒนาผลงาน
ข้อมูลที่ได้จากการประเมิน ช่วยให้เห็นลักษณะจุดด้อย จุดเด่น
ลักษณะการถ่ายทอดทางด้านการจัดองค์ประกอบศิลป์ เทคนิคการสร้างสรรค์ผลงานและความสมบูรณ์ของผลงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สร้างสรรค์งานที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นไปสู่การแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
2. ด้านส่งเสริมการตัดสินผลงานอย่างมีหลักเกณฑ์
การประเมินโดยการจำแนกส่วนประกอบต่างๆ ให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียของการแสดงออกทางทัศนธาตุ องค์ประกอบศิลป์ เทคนิคกระบวนการสร้างสรรค์ วัสดุที่ใช้และเนื้อหาสาระอย่างมีหลักเกณฑ์ทางศิลปะ เป็นข้อมูลที่ช่วยส่งเสริมในการตัดสิน ประเมินคุณค่า โดยการให้คะแนนของครูต่อนักเรียน
ของคณะกรรมการตัดสินในการประกวดแข่งขันงานศิลปะ รวมถึงเป็นข้อมูลในการพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อผลงานทางศิลปะของผู้ที่สนใจ
3. ด้านส่งเสริมการพัฒนาเรียนรู้
ในการประเมินคุณค่าของงานศิลปะ ผู้ประเมินต้องมีคุณสมบัติทางด้านความรู้
ความเข้าใจในเทคนิคการสร้างงานศิลปะและสาระต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการแสดงออกในผลงาน เพื่อนำสิ่งดังกล่าวมาเป็นข้อมูลในการประเมิน
4. ด้านส่งเสริมผลงานให้มีคุณค่า
ผลงานศิลปะที่ได้รับการประเมินให้ได้รับรางวัล
หรือได้รับการยกย่องจะทำให้ศิลปินผู้สร้างสรรค์มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักยอมรับของสาธารณชน เป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพทางศิลปะ ผลงานที่สร้างสรรค์มีมูลค่าสูงขึ้นและเกิดกระแสนิยมในผลงานศิลปะอย่างแพร่หลาย ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
การประเมินคุณค่าผลงานศิลปะช่วยส่งเสริมการพัฒนาผลงาน พัฒนาการเรียนรู้ และทำให้ผู้สร้างสรรค์งาน
นำข้อมูลเหล่านั้นไปสู่การแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
การวิจารณ์งานทัศนศิลป์[2]
การวิจารณ์งานศิลปะ หมายถึง การแสดงความคิดเห็นที่มีผลต่อผลงานศิลปะอย่างมีหลักการ เพื่อแสดงความชื่นชมและปรับปรุงพัฒนาผลงาน ตลอดจนให้สามารถประเมินค่าผลงานได้ด้วยความเที่ยงธรรม การวิจารณ์มีทั้งหลักการวิจารณ์ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล และการวิจารณ์ด้วยเหตุผลรสนิยมและทัศนคติส่วนตัว
จุดประสงค์ของการวิจารณ์งานศิลปะ
มีจุดประสงค์ ดังนี้
1. วิจารณ์เพื่อความชื่นชม เป็นการวิจารณ์ส่วนตัวที่มีต่อผลงานศิลปะนั้นๆ เป็นประโยชน์ในการถ่ายทอดความคิดเห็นและความรู้สึกให้ผู้อื่นได้รับทราบ หรือแลกเปลี่ยนทัศนะซึ่งกันและกัน ช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกัน
2. วิจารณ์เพื่อปรับปรุงพัฒนาผลงาน
เป็นการวิจารณ์ผลงานศิลปะในกิจกรรมการเรียนการสอนในระหว่างปฏิบัติงาน เพื่อนำข้อคิดเห็นมาปรับปรุงพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้น เช่น ครูวิจารณ์ผลงานนักเรียนหรือนักเรียนวิจารณ์ผลงานของตนเองหรือของเพื่อนในชั้นเรียน
3. วิจารณ์เพื่อประเมินผลหรือตัดสิน เป็นการวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลในทุกๆ ด้าน เกี่ยวกับผลงานศิลปะ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจในการวัดประเมินผลการสร้างงานศิลปะ
หรือในการตัดสินการประกวดแข่งขันผลงานศิลปะด้านต่างๆ ซึ่งจะต้องมีหลักเกณฑ์และเครื่องมือการวัดผลประเมินผล
คณะกรรมการตัดสินการแข่งขันวาดภาพ กำลังวิเคราะห์ วิจารณ์ภาพ เพื่อประเมินผลหรือตัดสิน
องค์ประกอบของการวิจารณ์งานศิลปะ
การวิจารณ์งานศิลปะมีองค์ประกอบสำคัญที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเป็น 3 ส่วนคือ
1. ศิลปิน (Artist) เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่ถ่ายทอดมาจากแรงบันดาลใจ ทั้งในลักษณะแรงบันดาลใจที่ได้มาจากธรรมชาติและแรงบันดาลใจจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยผ่านสื่อวัสดุอุปกรณ์เป็นผลงานศิลปะ ศิลปินจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในอันดับแรก
เพราะหากไม่มีศิลปินก็ไม่มีผลงานศิลปะให้ผู้ชมได้วิเคราะห์วิจารณ์
ศิลปินกำลังเขียนภาพโดยใช้สื่อวัสดุอุปกรณ์ ให้ผู้ชมได้วิเคราะห์วิจารณ์
2. ผลงานศิลปะ (Work of ART) เป็นสิ่งที่เกิดจากการถ่ายทอดความคิดทางภูมิปัญญาของศิลปินผ่านสื่อ วัสดุด้วยเทคนิคการสร้างสรรค์ที่หลากหลาย เช่น จิตรกรรม การวาดเส้น ภาพพิมพ์ [3] ประติมากรรม[4] สถาปัตยกรรม[5] เป็นต้น ผลงานศิลปินเหล่านี้สัมผัสได้ด้วยการมองเห็น มีคุณค่าต่อผู้ชมและสังคมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผลงานภาพจิตรกรรมที่เกิดจากการถ่ายทอดความคิดทางภูมิปัญญาของศิลปินผ่านสื่อ วัสดุด้วยเทคนิคการสร้างสรรค์
3. ผู้ชม (Spectator) เป็นประชาชนที่มาชมผลงานศิลปะซึ่งนับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ชมเหล่านี้เมื่อได้สัมผัสรับรู้ ชื่นชมผลงานศิลปะจะเกิดปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งทางความรู้สึก บางคนรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ แต่ไม่แสดงความคิดเห็น ในขณะที่บางคนจะแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อศิลปินในการพิจารณาปรับปรุงการสร้างผลงานต่อๆ ไป แม้ว่าผู้ชมที่วิจารณ์บางคนอาจมีประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจด้านศาสตร์แห่งศิลปะน้อย แต่เมื่อฝึกฝนการวิพากษ์วิจารณ์ โดยพยายามศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมในผลงานศิลปะประเภทที่ตนสนใจ ผสมผสานกับอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว ก็จะช่วยให้การดูและชื่นชมงานศิลปะมีความประทับใจยิ่งขึ้น
นักเรียนหรือผู้เข้าชมงานศิลปะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการวิพากษ์วิจารณ์ผลงานศิลปะ
กระบวนการวิจารณ์งานศิลปะตามหลักและวิธีการ
ในการวิจารณ์งานศิลปะนั้น สิ่งสำคัญก็คือข้อมูลที่นำมาวิจารณ์ได้มาจากการวิเคราะห์ หาคุณค่าผลงานใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความงาม ด้านสาระและด้านอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งจะต้องนำมาจัดลำดับขั้นตอนการวิจารณ์ตามหลักและวิธีการวิจารณ์ 5 ขั้นตอน คือ
1. ขั้นระบุข้อมูลของผลงาน เป็นข้อมูลรายละเอียดสังเขปเกี่ยวกับประเภทงาน ชื่อผลงาน ชื่อศิลปิน ขนาดวัสดุ เทคนิควิธีการ สร้างเมื่อ พ.ศ. ใด ปัจจุบันติดตั้งอยู่ที่ไหน รูปแบบการสร้างสรรค์เป็นแบบใด ตัวอย่าง เช่น
ภาพราตรีประดับดาว (Starry
Night) ผลงานของฟินเซนต์ ฟาน ก็อก (Vincent van Gogh)
ขนาดภาพ 75.5 x 92 ซม. เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ผลงานปี ค.ศ. 1889
ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่นิวยอร์กรูปแบบการสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะสากล[6] ที่สะท้อนให้ เห็นถึงการถ่ายทอดที่ผสมผสานกัน จากแรงบันดาลใจภายนอก แรงบันดาลใจภายในกับจินตนาการ
2. ขั้นพรรณนาผลงาน เป็นการบันทึกข้อมูลที่เกิดจากการมองเห็นภาพผลงานในขั้นต้นว่า เป็นภาพอะไร เช่น ภาพคน ภาพสัตว์ ภาพทิวทัศน์ ภาพหุ่นนิ่ง เป็นต้น มีเทคนิคในการสร้างสรรค์แบบใด ตัวอย่างเช่น
ภาพน้ำพริกปลาทู เทคนิคสีน้ำบนกระดาษ ผลงานของพินิตย์ รุ่งแจ้ง
เป็นภาพแสดงการถ่ายทอดรูปแบบเหมือนจริง (Realistic)[7] การจัดองค์ ประกอบของรูปร่าง วงกลม และทิศทางแนวเส้นของรูปได้อย่างกลมกลืน ลดหลั่นเป็นจังหวะต่อเนื่อง ใช้น้ำหนักสี และขนาดที่แตกต่างกันของภาพทำให้มีจุดเด่นปลาทู และจานชามไม่กลืนหายลงไปกับผักที่เป็นพื้นรองรับ
3. ขั้นวิเคราะห์ เป็นการดูลักษณะภาพรวมของผลงานว่าจัดอยู่ในประเภทใด รูปแบบการถ่ายทอดเป็นแบบใด จำแนกทัศนธาตุและองค์ประกอบศิลป์[8] ภาพรวมเป็นส่วนย่อยให้เห็นว่ามีหลักการจัดภาพที่กลมกลืนหรือขัดแย้งอย่างไร
4. ขั้นตีความ เป็นการค้นหาความหมายของผลงานว่า ศิลปินหรือผู้สร้างสรรค์ต้องการสื่อให้ผู้ชมผลงานได้รับรู้เกี่ยวกับอะไร เช่น สภาพปัญหาในชุมชน สังคมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น
5. ขั้นประเมินผล เป็นการประเมินคุณค่าของผลงานศิลปะชิ้นนั้น จากการพิจารณาทุกข้อในเบื้องต้น สรุปให้เห็นข้อดีและข้อด้อยในด้านเนื้อหาและเรื่องราว หลักทัศนธาตุและหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ ทักษะฝีมือและการถ่ายทอดความงาม เพื่อการพัฒนาหรือตัดสินผลงานชิ้นนั้น
ประโยชน์ของการวิจารณ์
1.
ศิลปินได้ข้อคิดนำไปปรับปรุง พัฒนาการสร้างสรรค์ผลงานให้ดีขึ้น
2. ผู้วิจารณ์มีความรู้ ความเข้าใจ และได้ชื่นชมศิลปะมากขึ้น
3. ศิลปิน ผู้ชม ผู้วิจารณ์ นักวิชาการได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทำให้เกิดประสบการณ์ในการวิเคราะห์วิจารณ์มากขึ้น
4.
ผลงานศิลปะ ศิลปินและผู้วิจารณ์ เป็นที่รู้จักในวงการศิลปะและสังคมมากขึ้น
5. ช่วยจรรโลงจิตใจของคนในสังคมให้มีความสุข มีสุนทรียภาพและมีรสนิยมทางความงาม
การวิจารณ์และชื่นชมงานศิลปะในโรงเรียน
โรงเรียนเป็นสถาบันหลักของสังคมที่มีหน้าที่ให้การศึกษาและเป็นศูนย์กลางทางวิชาการ
การวิจารณ์และการแสดงความชื่นชอบงานศิลปะในโรงเรียน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจในศิลปะได้อย่างกว้างขวาง การวิจารณ์เป็นการเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนการสอน เพื่อเสริมให้นักเรียนกล้าคิด กล้าพูดอย่างมีเหตุผล ดังนั้นครูจึงควรมีส่วนช่วยส่งเสริมด้วยวิธีการตั้งคำถามให้นักเรียนแสดงออกในการแสดงความคิดเห็น หลังจากที่ปฏิบัติผลงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นการแลกเปลี่ยนทัศนะซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ สนุกสนานเพลิดเพลินรู้จุดบกพร่องของตนเอง
เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขพัฒนางานให้มีคุณค่าต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจารณ์เพื่อการตัดสินผลงานศิลปะทั้งในกิจกรรมเรียนการสอน และในการประกวดแข่งขันระดับต่างๆ จำเป็นจะต้องใช้หลักการวิจารณ์ที่ถูกต้องเป็นมาตรฐาน โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในเรื่องนั้นๆ และต้องมีความเที่ยงธรรมปราศจากความลำเอียงหรือใช้อคติส่วนตัวในการพิจารณา
การวิจารณ์และการแสดงความชื่นชมต่อผลงานศิลปะโดยทั่วไป
เช่น การชมภาพจิตรกรรมที่ประดับตามสถานที่จัดแสดง หรือหอศิลป์ ผู้ชมมีสิทธิที่จะวิจารณ์และแสดงความชื่นชมในผลงานศิลปะได้อย่างอิสระ ขึ้นอยู่กับรสนิยมหรือความชอบของผู้วิจารณ์ และการวิจารณ์นั้นไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน เหมือนกับการวิจารณ์เพื่อให้คะแนนหรือตัดสินรางวัล
การวิจารณ์งานศิลปะเกี่ยวข้องกับปัจจัย 2 ประการ คือ
1.
ผลงานศิลปะ หมายถึง ผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างมีคุณค่า แสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ การสื่อความหมาย การจัดองค์ประกอบศิลป์และการแสดงออกทางศิลปะ
2. ผู้วิจารณ์ หมายถึง บุคลที่มีความรู้ความเข้าใจในการวิจารณ์ มีความสนใจศึกษาความรู้เพิ่มเติมทางศิลปะอยู่เสมอ มีประสบการณ์ กล้าพูด มีไหวพริบปฏิภาณในการแสดงความคิดเห็น มีใจเป็นกลาง และคำพูดที่ใช้ในการวิจารณ์ควรเป็นคำพูดในเชิงสร้างสรรค์
การวิจารณ์งานศิลปะในโรงเรียนแบ่งผู้วิจารณ์ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
2.1 นักเรียนเจ้าของผลงาน เป็นการวิจารณ์เพื่อนำเสนอผลงาน ได้แก่ การบอกจุดประสงค์ของการสร้างสรรค์ที่แฝงอยู่ในผลงาน รูปแบบและเทคนิควิธีการ ตลอดจนสิ่งที่ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป
นักเรียนเจ้าของผลงาน นำเสนอผลงานเพื่อสื่อให้ผู้ชมเข้าใจในการสร้างสรรค์
2.2 นักเรียนในชั้นเรียน เป็นการวิจารณ์เพื่อแสดงความชื่นชมในผลงาน และให้ข้อเสนอแนะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใน สิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไข
เพื่อนนักเรียนในชั้นเรียน ร่วมวิจารณ์เพื่อแสดงความชื่นชมในผลงานและ
ให้ข้อเสนอแนะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไข
2.3 ครูศิลปะ เป็นการวิจารณ์เพื่อแสดงความชื่นชมให้กำลังใจ ให้ความรู้ความเข้าใจและแนวคิดในการปรับปรุงพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการวิจารณ์เพื่อประกอบการประเมินค่าให้คะแนนในการเรียนและการประกวดแข่งขันต่างๆ
ครูศิลปะ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ วิจารณ์ และชื่นชมให้กำลังใจในผลงานของนักเรียนที่สร้างสรรค์ขึ้น