เลือดออกในสมอง เกิดได้จากหลายสาเหตุ
โดยจะแบ่งอย่างง่ายๆ ได้ 2 ชนิด ได้แก่ เกิดจากเส้นเลือดสมองเอง และเกิดจากภาวะอื่นๆ
- โรคหลอดเลือดสมองแตกจากเส้นเลือดสมองเอง
1.1.เส้นเลือดฝอยแตกจากความดันโลหิตสูง
1.2.เส้นเลือดใหญ่แตกจากภาวะโป่งพองของเส้นเลือด
1.3.เส้นเลือดขอดในสมอง ซึ่งมีการพบแตกได้ตั้งแต่อายุน้อย
1.4.เส้นเลือดแตก จากความผิดปกติอื่นๆ ของเส้นเลือด (พบไม่บ่อย) - เกิดจากภาวะอื่นๆ
2.1.อุบัติเหตุ
2.2.เนื้องอกในสมอง
2.3.โรคเลือด
2.4.โรคตับ
อาการของโรคเลือดออกในสมอง จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่เลือดออก ขนาดของก้อนเลือดและสาเหตุ มีอาการดังนี้
- ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
- อ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก อัมพฤกษ์ อัมพาต
- พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว
- ตามัว
- ซึมลง หรือไม่รู้สึกตัว
- ชัก
จะทราบได้อย่างไรว่ามีเลือดออกในสมอง
- ตรวจร่างกายโดยแพทย์ร่วมกับ
- ตรวจสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์ต่างๆ
2.1.CT scan ทราบผลเร็ว บอกได้ว่ามีเลือดออกหรือไม่ และออกตรงไหน
2.2.MRI บอกได้ละเอียดรวมถึงบอกสาเหตุได้เกือบทั้งหมด (ถ้าตรวจร่วมกับ MRA และ/หรือ MRV)
2.3.Angiogram (CT Brain) เป็นการตรวจอย่างละเอียด ดูการไหลเวียนของเลือดได้ครบ ในปัจจุบันสามารถทำเป็นภาพสามมิติได้
การรักษาเลือดออกในสมองในระยะฉุกเฉิน
ต้องทำแข่งกับเวลาเพื่อช่วยชีวิต ลดความพิการที่จะเกิดขึ้น โดยมีการรักษาดังนี้
- รักษาตามอาการ ด้วยการใช้ยา
- ผ่าตัดเจาะระบายน้ำในสมอง ทำในกรณีเกิดน้ำคั่งในสมองร่วมหรือเพื่อวัดและลดความดันในสมอง
- ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ นำเลือดในสมองออกลดสมองบวม และแก้ไขสาเหตุที่เลือดออก
- การอุดรอยรั่วของโรค ซึ่งไม่ต้องมีแผลผ่าตัด สามารถทำได้โดยการอุด
• ขดลวด กรณีเส้นเลือดโป่งพอง
• กาว กรณีเส้นเลือดขอด
การรักษาเลือดออกในสมองต่อเนื่องหลังพ้นภาวะฉุกเฉิน
- การทำกายภาพบำบัด โดยจำเป็นต้องฟื้นฟูให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
- การดูแลต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง โดยเฉพาะภาวะน้ำคั่งในสมอง หรือชัก
- การป้องกันการเกิดซ้ำ โดยหมั่นวัดความดันโลหิต เบาหวาน ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น งดสูบบุหรี่ งดนอนดึก งดเครียดทั้งกายและใจ
เลือดออกในสมองก่อให้เกิดความพิการ และเสียชีวิตได้ มีผลกับทั้งคนไข้ รวมถึงคนในครอบครัวที่ต้องดูแล การป้องกันไม่ให้เกิดจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยการดูแลสุขภาพ ตรวจเช็คร่างกายสม่ำเสมอ ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ก็จะลดการเกิดโรคได้ แต่ถ้ามีอาการหรือสงสัยว่าเรามีเลือดออกในสมอง ควรพบแพทย์ทางสมองอย่างรวดเร็ว จะทำให้การรักษาได้ผลดีขึ้น
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คือ ภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือดและออกซิเจนที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เซลล์สมองค่อยๆ ตายลง
โรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
- หลอดเลือดสมองตีบตันหรืออุดตัน (ischemic stroke)
- หลอดเลือดสมองแตก (hemorrhagic stroke) ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในเนื้อสมอง (intracerebral hemorrhage) หรือเยื่อหุ้มสมอง (subarachnoid hemorrhage)
โรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน มีอาการอย่างไร?
- มีอาการอ่อนแรงที่ใบหน้า เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หลับตาไม่สนิท หรือชาที่ใบหน้า
- มีอาการแขนขาอ่อนแรงอย่างเฉียบพลันโดยมักเป็นครึ่งซีก
- มีอาการแขนหรือขาชาอย่างเฉียบพลัน มักจะเป็นซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย
- พูดไม่ออก หรือฟังไม่เข้าใจ รวมทั้งพูดลำบาก หรือพูดไม่ชัด
- มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็น
- มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงเฉียบพลัน โดยที่ไม่มีสาเหตุ
- มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เช่น ซึมลง เรียกไม่รู้ตัว
- มีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน
- มีอาการเดินเซ เดินลำบาก การทรงตัวไม่ดีอย่างเฉียบพลัน
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน
โรคหลอดเลือดสมอง สามารถเกิดได้จากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ทั้งปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้
ปัจจัยเสี่ยงของเส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ได้แก่
- อายุ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
- เพศ ผู้ชายจะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้มากกว่าผู้หญิง
- เชื้อชาติ พันธุกรรมบางชนิด
ปัจจัยเสี่ยงของเส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน ที่สามารถควบคุมได้ ได้แก่
- ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจ
- โรคเลือดบางชนิด เช่น ภาวะเลือดข้นผิดปกติ เกล็ดเลือดสูง เม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ
- รวมทั้งหัวใจวายและภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด
- โรคอ้วน และภาวะนอนกรน
- การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเสพติด หรือยากระตุ้นบางชนิด
- ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมีภาวะเครียด
การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน
- การซักประวัติอาการของผู้ป่วย
- การตรวจร่างกายเบื้องต้น
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan brain) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI brain)
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ โดยแบ่งตามลักษณะของโรค ดังนี้
1. หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (ischemic stroke) สามารถรักษาได้ 2 วิธี ได้แก่
- การรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด (rtPA) จะใช้ในกรณีผู้ป่วยมาพบแพทย์ภายในระยะเวลาไม่เกิน 4.5 ชั่วโมงนับจากมีอาการ และพิจารณาความเหมาะสมของร่างกายผู้ป่วยแล้ว โดยแพทย์จะทำการฉีดยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ เพื่อละลายลิ่มเลือดที่ปิดกั้นหลอดเลือดอยู่ออกเพื่อช่วยให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองอีกครั้ง
- การใส่สายสวนลากลิ่มเลือด (Clot Retrieval) หากเส้นเลือดที่ตีบเป็นเส้นเลือดใหญ่ โดยการใส่สายสวนเข้าทางหลอดเลือดแดงใหญ่พร้อมขดลวดที่ขาหนีบไปจนถึงจุดที่เกิดการอุดตัน แล้วดึงเอาลิ่มเลือดที่อุดตันออกจากหลอดเลือดสมองเพื่อเปิดรูของหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ช่วยให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองอีกครั้ง
2. หลอดเลือดสมองแตก (hemorrhagic stroke) จะต้องการควบคุมปริมาณเลือดที่ออกด้วยการรักษาระดับความดันโลหิต โดยให้ยาลดความดันโลหิตเพื่อป้องกันการแตกซ้ำ พร้อมทั้งหาสาเหตุของเส้นเลือดในสมองแตก ในกรณีที่เลือดออกมาก แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเพื่อป้องกันความเสียหายต่อสมอง โดยการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเลือดที่ออกภายในสมองและขนาดของก้อนเลือด
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน
โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย รองจากโรคมะเร็ง นอกจากการตรวจสุขภาพเป็นประจำแล้ว การดูแลสุขอนามันของตนเองก็สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตันได้