ร ปต ดบ ตร น ส ต ม.เกษตร ย งยาก

สุดสลด หนุ่มเมาบุกเคาะประตูโวยวายห้องพักนิสิตสาวปริญญาเอก ม.เกษตรศาสตร์ฯ บนชั้น 6 แมนชั่นย่านลาดปลาเค้า เหตุเข้าใจผิดคิดว่าจอด จยย.ทับที่จอดตัวเอง เหยื่อสาวตกใจปีนระเบียงหลังห้องหนีไปขอความช่วยเหลือ จากห้องข้างๆ แต่พลัดตกลงไปดับอนาถ พ่อเหยื่อโร่ร้องเพจสายไหมต้องรอด เพราะตำรวจแจ้ง 3 ข้อหาลหุโทษไร้ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นเสียชีวิต ขณะที่ป้าคนดูแลเผยคนก่อเหตุถูก เจ้าของไล่ออกแล้ว เพราะเป็นบุคคลอันตราย ก่อนไปนำพานมาขอขมาน้องคนตายในจุดเกิดเหตุแล้ว ขณะที่ศพเหยื่อสาวเผาที่บ้านลำนารายณ์ แม่สุดเศร้า เพราะกำหนดจบปริญญาเอกปีหน้า จะขอเอาผิดกับ ทุกคนที่เกี่ยวข้อง

เหตุสลดใจครั้งนี้เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ธ.ค. ที่ทำการเพจสายไหมต้องรอด ซอยสายไหม 38 นายสมชาย สีชำนาญ อายุ 60 ปี เข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากนายเอกภพ เหลือง ประเสริฐ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และนายนิรันดร์ เกแง้ว ผู้ร่วมก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กรณี น.ส. อาภาภรณ์ หรือน้องเฟิร์น สีชำนาญ อายุ 27 ปี ลูกสาว เป็นนิสิตปริญญาเอก ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน พลัดตกจากห้องพักชั้น 6 ภัทรีดาแมนชั่น ซอยลาดปลาเค้า 3 เสียชีวิต สาเหตุเพราะตกใจที่มีชายเมาสุราและพักในอาคารเดียวกันขึ้นไปบุกทุบห้องพักของ น.ส.อาภาภรณ์ โวยวายด้วยเหตุเข้าใจผิด ทำให้ น.ส.อาภาภรณ์หวาดกลัว พยายามปีนระเบียงหลังห้องหนีไปห้องข้างๆแต่เกิดพลัดตกลงมาเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา

นายเอกภพกล่าวหลังคุยรายละเอียดกับนายสมชายพ่อผู้ตายว่า วันเกิดเหตุ น.ส.อาภาภรณ์ตกใจกลัวที่สามีผู้จัดการแมนชั่นบุกมาเคาะห้องเสียงดังในช่วงเวลา 04.00 น. ใช้ถ้อยคำส่งเสียงดังโวยวายเพราะเข้าใจผิดว่า น.ส.อาภาภรณ์ จอดรถ จยย.ทับที่ จอด จยย.ของตัวเอง ข้อเท็จจริง น.ส.อาภาภรณ์ไม่มีรถ จยย. ด้วยความตกใจและหวาดกลัว น.ส.อาภาภรณ์รีบแชตข้อความบอกเพื่อนที่อยู่ชั้น 3 ให้ช่วยเหลือ เพื่อนไม่กล้าขึ้นไปช่วยเพราะเกรงว่าผู้ก่อเหตุอาจมีอาวุธ รีบลงไปที่ชั้น 1 เพื่อเรียก รปภ. ระหว่างนั้น น.ส.อาภาภรณ์กลัวผู้ก่อเหตุจะพังห้องเข้ามา ปีนระเบียงหลังห้องจะข้ามไปยังห้องข้างๆแต่พลัดตกร่างกระแทกผ่านหลังคาโรงจอดรถลงมายังพื้นชั้นล่างเสียชีวิต

ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอดกล่าวว่า หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้บุกไปโวยวายมีอาการมึนเมาคล้ายคนดื่มสุรา พนักงานสอบสวนไม่ได้ตรวจเรื่องสารเสพติด ล่าสุดทราบว่าผู้ก่อเหตุได้กล่าวขอโทษกับแม่น้อง ไม่ได้พูดเรื่องการเยียวยาช่วยเหลือ อีกประการสำคัญคือ ที่มีการจอดทับที่ จยย. สรุปแล้วไม่ใช่ จยย.ของผู้ตาย แต่เป็น จยย.คนอื่น เป็นเรื่องเข้าใจผิด รวมถึงการดำเนินคดีมีเพียง 3 ข้อหา คือความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน, ความผิดฐานผู้ใดส่งเสียงทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควรจนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน และความผิดฐานผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญแต่กลับไม่มีการพิจารณาแจ้งข้อหาฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เพราะน้องพลัดตกตึกมีมูลเหตุจากการถูกเคาะห้องเสียงดังและตกใจ ระหว่างเกิดเหตุน้องผู้เสียชีวิตไม่ได้ตอบโต้กับผู้ก่อเหตุ มีเพียงการส่งข้อความทาง Messenger ใน Facebook แจ้งกับเพื่อนที่อยู่ชั้น 3 เท่านั้น

นายเอกภพกล่าวว่า คดีนี้ต้องทำสำนวนคดีและสอบปากคำพยานแวดล้อมว่า เสียงในคืนเกิดเหตุดังมากแค่ไหน เพราะถือเป็นพฤติกรรมความประมาทของผู้ก่อเหตุที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ไม่อย่างนั้นลอยนวลเพราะมีโทษ 3 ข้อหาเป็นความผิดลหุโทษเท่านั้น นอกจากนี้ได้ประสานไปยัง พล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ รอง ผบช.น. ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หากพบว่าการเสียชีวิตของน้องเกิดจากการกระทำของผู้ก่อเหตุหรือใครก็ตาม ขอให้ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาหนักที่สุด ทราบว่า พล.ต.ต.มานพ สั่งให้พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย วิเคราะห์สำนวน ตรวจสอบให้ถี่ถ้วนว่า การเสียชีวิตของนักศึกษาปริญญาเอกรายนี้เกิดจากมูลเหตุที่ผู้ก่อเหตุเคาะห้องส่งเสียงดังและโวยวายเป็นเหตุให้น้องตกใจจนตัดสินใจหลบหนีและเสียชีวิต และให้พิจารณาความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องว่าพบอีกหรือไม่

ด้านนายสมชาย สีชำนาญ อายุ 60 ปี พ่อผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ลูกสาวเป็นคนกลัวเสียงดังมาตั้งแต่เด็ก หลังจากเข้ามาที่กรุงเทพฯ เป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอจบการศึกษาระดับปริญญาเอก สิ่งที่เกิดขึ้นเสียใจอย่างยิ่ง ตนมีลูกสาวที่เรียนเก่งและเป็นนักเรียนทุนแต่กลับต้องเสียชีวิตจากการกระทำของคนที่ขาดสติ มึนเมาเพราะเข้าใจผิดว่าลูกสาวไปจอด จยย.ทับที่ อีกทั้งมองว่าผู้ก่อเหตุมีลักษณะคล้ายคนดื่มสุราแต่กลับไม่มีการตรวจสารเสพติด แค่เรื่องมูลเหตุการจอด จยย.ทับที่กันทำไมต้องคลุ้มคลั่งขนาดนี้ อยากให้ผู้ก่อเหตุมีจิตสำนึกและประสงค์ให้ตำรวจช่วยดำเนินคดีให้ครอบคลุมทั้งหมด

ต่อมาเวลา 13.10 น.วันเดียวกัน นายนิรันดร์ เกแง้ว ผู้ร่วมก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้พานายสมชาย สีชำนาญ อายุ 60 ปี พ่อ น.ส.อาภาภรณ์ หรือน้องเฟิร์น ที่เสียชีวิตตกจากห้องพักชั้น 6 ภัทรีดา แมนชั่น ซอยลาดปลาเค้า 3 ไปดูจุดเกิดเหตุพบว่าอาคารดังกล่าวสูง 7 ชั้น จุดที่ น.ส.อาภาภรณ์ตกลงมาอยู่ที่ห้องพักชั้น 6 ระหว่างกำลังปีนหนีไปห้องข้างๆ ทางระเบียงหลังห้อง แต่ห้องด้านข้างติดระแนงสีดำกันนกทำให้น้องเฟิร์นพลัดตกมาที่หลังคากันสาดชั้น 1 แล้วหล่นใส่รถ จยย.ฮอนด้า รุ่นคลิก สีขาว-เทา ทะเบียน อธธ 268 กรุงเทพมหานคร ก่อนหน้าตกลงพื้น

นายสมชายกล่าวว่า คิดว่าลูกคงได้ยินเสียงแล้วตกใจกลัวอย่างมากจนตัดสินใจปีนหนีทำให้เกิดเหตุ รู้สึกหดหู่และเสียใจ เห็นว่าระเบียงหลังห้องไม่มีอะไรปิดกั้น อยากฝากสื่อมวลชนช่วยติดตามคดีกับตำรวจ อยากรู้ว่าเจตนาแรกของเขาคืออะไร เป็นเรื่องจอดรถ จยย.ทับที่จริงหรือไม่ หรือมีเจตนาอื่นใดกันแน่

ขณะที่ “ป้าสา” อายุ 56 ปี (ไม่เปิดเผยชื่อ) ผู้ดูแลแมนชั่น ออกมาแสดงความเสียใจกับนายชำนาญ พร้อมกล่าวว่า วันเกิดเหตุฝ่ายชายเป็นลูกบ้านอยู่ชั้น 2 โทร.มาหาตนเรื่องมีผู้จอด จยย.ทับที่จอดตัวเองด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ไม่ทราบว่ามีอาการเมาสุรานึกไม่ออกว่ารถใครจอดทับที่พูดกับตัวเองว่าอาจจะเป็นห้องที่ชั้น 6 แจ้งให้รอก่อนจะตรวจสอบให้ แต่กลับขึ้นไปที่ห้องน้องเฟิร์น หลังเกิดเหตุเจ้าของแมนชั่นสั่งให้ย้ายออกไปทันที นอกจากนี้ ผู้ก่อเหตุไม่ได้เป็นคนดูแล อยากให้ความจริงให้มันถูกต้อง ไม่ใช่สามีคนดูแล ไม่ใช่สามีตน ตนเป็นคนดูแลสถานที่ สำหรับที่จอด จยย.ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่จะทราบว่าเป็นที่เขาจอดรถประจำไม่คิดว่าเหตุแบบนี้จะเกิดขึ้น เรื่องเกิดจากความเมา อารมณ์ และขาดสติ ให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนในชีวิต คนอารมณ์ร้ายอารมณ์รุนแรงมันจะทำร้ายตัวเองอยากให้สำนึกผิด ตัวผู้ชายอยากขอโทษพ่อกับแม่น้องเฟิร์น แต่กลัวความปลอดภัย หลังจากเคลื่อนย้ายร่างน้องไป ผู้ก่อเหตุได้นำพานมากราบขอขมาน้องตรงจุดเกิดเหตุ

ป้าสากล่าวว่า สุดท้ายขอชี้แจงว่า ผู้ก่อเหตุนอกจากความมึนเมาขาดสติแล้ว ยังขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจากความเข้าใจผิด หลังเกิดเหตุสำนึกผิด เจ้าของแมนชั่นให้ออกตั้งแต่วันรุ่งขึ้นทันทีเพราะเป็นบุคคลอันตราย ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุแบบนี้ ปกติไม่ได้อารมณ์รุนแรงแบบนี้ คิดว่าน่าจะเมามาก อย่างไรก็ตาม หลังได้ชี้แจงกับพ่อตนสบายใจขึ้น เพราะความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจากตัวบุคคล อาคารผิดตรงไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้ และเจ้าของได้ช่วยเหลือเงินทำศพน้องเฟิร์น วันนั้นถ้าตนอยู่คงไม่เกิดเหตุเช่นนี้

สำหรับผู้ก่อเหตุบุกทุบห้อง น.ส.อาภาภรณ์ คือ นายสมมาตร ชูเชิด อายุ 41 ปี ขับขี่รถ จยย. ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นเอ็กซ์แม็กซ์ 300 สีดำ ทะเบียน 3 ขศ 796 กรุงเทพมหานคร

ส่วนศพ น.ส.อาภาภรณ์ หรือน้องเฟิร์น สีชำนาญ หลังเกิดเหตุครอบครัวนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดลำนารายณ์ อ.ลำนารายณ์ จ.ลพบุรี สวดพระอภิธรรม 3 คืนและฌาปนกิจไปแล้วเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า มีกลุ่มเพื่อนและญาติพี่น้องร่วมงานจำนวนมาก

วันเดียวกันที่บ้านเลขที่ 489/1 ม.5 ต.ลำนารายณ์ นางอารีย์ ไวศรี อายุ 46 ปี แม่ของน้องเฟิร์นเผยถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวว่า วันที่ไปเก็บข้าวของน้องเฟิร์นกลับบ้าน มีแม่บ้านและผู้ก่อเหตุไปพบตน ยกมือไหว้ขอโทษถึงเหตุที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นการเข้าใจผิด วันเกิดเหตุผู้ก่อเหตุได้สอบถามแม่บ้านว่า จยย.ของใครมาจอดที่จอดรถของเขา แม่บ้านแจ้งว่าเป็นรถน้องเฟิร์นทั้งๆที่เป็นรถผู้อื่นจนผู้ก่อเหตุโมโหบุกไปคุกคามที่ห้องลูกสาวจนเกิดเหตุการณ์ขึ้น ผู้ก่อเหตุไม่น่าจะทำเช่นนี้กับน้องเฟิร์นหรือแม้แต่คนอื่นๆก็ตาม เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวที่ต้องเสียลูกสาวไปทั้งๆที่มีอนาคตที่ยาวไกล จะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดคือผู้ก่อเหตุ แม่บ้านที่สื่อสารจนเข้าใจผิด และเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่ไม่ดูแลเรื่องความปลอดภัยปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ ในเรื่องนี้กลุ่มเพื่อนๆน้องเฟิร์นได้เข้าขอความช่วยเหลือกับเพจสายไหมต้องรอด นัดหมายให้ตนไปพบในวันพรุ่งนี้เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไป

สำหรับประวัติการศึกษาของ น.ส.อาภาภรณ์ หรือน้องเฟิร์น สีชำนาญ ที่แม่ผู้ตายเขียนไว้ในการกล่าวคำอาลัยในวันฌาปนกิจศพ ระบุว่า ปี พ.ศ.2558 ศึกษาระดับปริญญาตรีที่ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับทุนการศึกษาพระ ราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ จบการศึกษาปริญญาตรีด้วยเกรดเฉลี่ย 3.19 ต่อมาปี พ.ศ.2562 ศึกษาในระดับปริญญาโท ที่ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับทุนการศึกษาของทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จบการศึกษาในระดับปริญญาโทด้วยเกรดเฉลี่ย 3.50 ต่อมาในปี พ.ศ.2564 ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ที่ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ได้รับทุนการศึกษาในโครงการพัฒนาบัณฑิตและวิจัยคุณภาพสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในเวลาต่อมาได้เดินทางไปนำเสนอผลงานวิจัยแบบโปสเตอร์ในงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ที่ประเทศไต้หวัน (กำหนดจบการศึกษาในระดับปริญญาเอกในปี พ.ศ.2567)